ร่างกายพิการกับการสมัครสอบเป็นอัยการ

7/5/53
เราคงเห็นบุคคลที่มีร่างกายพิการแต่มีความเพียร ไม่ย่อท่อยอมแพ้ในชีวิต ในการดำรงตนที่จะมีอาชีพอยู่ในสังคมและโลกใบนี้อย่างเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป

บทความนี้จะเขียนถึงผู้มีร่างกายพิการเป็นนักกฎหมายประกอบอาชีพทนายความ แต่ร่างกายพิการเพราะเป็นโปลิโอไปสมัครสอบคัดเลือกเป็นอัยการผู้ช่วยประจำปี พ.ศ.2544 แต่ถูกปฏิเสธ

เรื่องนี้ได้มีการว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลรัฐธรรมนูญ โดยทนายความผู้นี้ได้ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2521 มาตรา 33 (11) ที่ไม่รับสมัครคนพิการเป็นอัยการอ้างว่า “ กายไม่เหมาะสม ” นั้น กฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญเลือกปฏิบัติ โดยรัฐธรรมนูญจะต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยเสมอภาคกัน ยึดมั่นในเสรีภาพในการประกอบอาชีพและให้รัฐช่วยเหลือผู้พิการหรือทุพพลภาพ และผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยที่ 44/2545 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2545 ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเสียงข้างมากคือ 12 ต่อ 3 เสียง วินิจฉัยว่า

พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2521 มาตรา 33 (11) ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ผลคือทนายความผู้มีกายพิการด้วยโปลิโอ ไม่สามารถที่จะทำการสมัครเป็นอัยการได เพราะกายไม่เหมาะสมดังที่ตนตั้งใจไว้

แต่ทนายความผู้นี้ หาได้ลดความพยายามไม่ ในฐานะที่ตนเป็นนักกฎหมายและผลเกิดขึ้นกับตน จึงนำเรื่องดังกล่าวที่คณะกรรมการอัยการมีมติไม่รับสมัครเข้าเป็นอัยการ ไปฟ้องยังศาลปกครองชั้นต้น เพื่อให้ศาลปกครองเพิกถอนมติของคณะกรรมการอัยการ (ก.อ) ต่อไป

ศาลปกครองชั้นต้นว่าผู้ฟ้องมีรูปกายพิการ เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเทียบกับบุคคลปกติทั่วไป จึงยกฟ้อง

ต่อมาผู้ฟ้องได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 ให้เพิกถอนมติคณะกรรมการอัยการที่สั่งไม่รับสมัครผู้ฟ้องคดี จึงมีผลให้ทนายความผู้พิการมีสิทธิสอบได้ โดยศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่า

แม้ผู้ฟ้องจะมีรูปกายพิการ แต่ความพิการไม่ถึงขนาดทำให้ผู้ฟ้องไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่การงานโดยปกติ ได้ ซึ่งงานที่ผู้ฟ้องเคยทำในขณะเป็นทนายความมาแล้วมีลักษณะทำนองเดียวกับงานของข้าราชการอัยการดังกล่าว

จึงน่าเชื่อว่าความแตกต่างทางร่างกายของผู้ฟ้องจะไม่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการปฏิบัติหน้าที่ของงานอัยการ จึงไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นควรค่าแก่การรับฟัง

ซึ่ง

-เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยโดยไม่ชอบตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฯ
-เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดี
-เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยโดยไม่ชอบตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฯ และ
-เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดี

ตามมาตรา 30 ของ รธน.

ผลจึงทำให้ทนายความผู้นี้สามารถสมัครสอบแข่งขันที่จะเป็นพนักงานอัยการได้

จากแนววินิจฉัยสะท้อนให้เห็นได้ว่า ร่างกายจะพิการแต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน เพราะค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ความซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร มีอิทธิบาท 4 ย่อมประสพผลสำเร็จ แต่ถ้าผู้มีการพิการไปสมัครรับราชการเป็นตำรวจ กรณีนี้ กายพิการก็อาจเป็นอุปสรรคได้ตามกฎหมาย

เพราะตำรวจต้องใช้ร่างกายที่แข็งแรงปฏิบัติหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2538 มาตรา 30 (5)

ที่ว่า

ผู้ที่จะเข้ารับราชการต้องไม่เป็นผู้มีกายทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัตหน้าที่ได้
แต่การเป็นอัยการเพียงใช้สติปัญญาความคิดเป็นสำคัญ
ซึ่งเขาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างที่เคยเป็นทนายความมาแล้ว

การตีความหรือเข้าถึงเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น ผู้พิการมีความสามารถจะไม่ให้เขาเข้าแสดงความสามารถ ไม่ให้โอกาสเพียงมีกฎระเบียบไว้ปิดกั้น เขาจะอยู่ในสังคมได้อย่างไร มีสิทธิเพียงหายใจอย่างเดียวหรือ คนพิการไม่มีสิทธิประกอบอาชีพอันทรงเกียรติหรืออย่างไร แต่บางคนมีกายครบสามสิบสองแต่ทำตนไม่สมที่มีเกียรติ ซึ่งมีข่าวอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าละอาย

โดยเฉพาะประเทศไทยได้มีกติกาสัญญาเป็นภาคี และประกาศของสหประชาชาติ ว่าด้วยเรื่องสิทธิต่าง ๆ ของผู้พิการทุพพลภาพบัญญัติว่า “ บุคคลพิการทุพพลภาพมีสิทธิที่จะมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม และที่จะมีระดับการครองชีวิตที่ดีบุคคลเหล่านั้นมีสิทธิที่จะได้ทำงานและคงสภาพการมีงานทำ หรือที่จะเข้าร่วมปฏิบัติอาชีพที่มีประโยชน์มีผลิตผลและมีรายได้และที่จะร่วมกับสหภาพแรงงานทั้งนี้ ตามความสามารถของตน

ดังนั้น การอยู่รวมกันในสังคมในโลกใบนี้ จะต้องมองในภาพกว้างไม่ยึดติดต่อบทกฎหมายตามตัวอักษร ต้องถือมั่นในบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ที่เป็นวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่เป็นจิตวิญญาณอยู่เบื้องหลังที่ปรากฎเป็นตัวอักษร ดังคำที่ว่าความยุติธรรมคือการไม่เลือกปฏิบัติ (Justice is not discrimination )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น