ชาร์ลส์ เทย์เลอร์ ในโลกจริง

8/10/52

ก่อนหน้านี้ในชื่อเรื่อง เราต่างต้องตายไปในวันแดดสีเหลือง ผมได้เขียนถึงภาพยนต์เรื่อง Blood Daimond ภาพยนต์เรื่องเยี่ยมที่ผมประทับใจมากที่สุดเรื่องหนึ่ง  กับเนื้อเรื่องที่ตื่นตาตื่นใจและความหมายที่ผมสะทกสะท้อน ซึ่งเล่าเรื่องในดินแดน Afrika โดยเฉพาะดินแดนประเทศ Liberia-ไลบีเรีย และ Sierra Leone-เซียร์ราลีโอน ทางฝั่งตะวันตกของทวีป แผ่นดินซึ่งเลือดสีแดงได้ไหลกลืนเป็นสีเดียวกัน ท่ามกลางสงครามกลางเมืองอันโหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ที่มีผู้คนล้มตายกว่า 200,000 คน ขณะที่อีกหลายพันคนถูกกลุ่มกบฎตัดแขน ขา หูหรือแม้แต่จมูก อย่างโหดเหี้ยม จากการกระทำของขบวนการ Revolutionary United Front (RUF) 


จากภาพยนต์ที่อิงเรื่องจริง วันนี้ ผมได้ข่าวจากสื่อว่า  ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์  ศาลโลก ได้เริ่มพิจารณาคดี ชาร์ลส์ เทย์เลอร์ อดีตประธานาธิบดีไลบีเรีย ฐานมีบทบาทสำคัญในการฆาตกรรม ข่มขืนหมู่ และตัดแขนขาประชาชนนับแสนคนในช่วงสงครามกลางเมืองกว่า 1 ทศวรรษ ที่ เซียร์ราลีโอน ซึ่งถือเป็นอดีตผู้นำประเทศอีกคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกับ สโลโบดัน มิโลเซวิช อดีตประธานาธิบดียูโกสลาเวีย ผู้ซึ่งถูกนำตัวขึ้นศาลระหว่างประเทศเพื่อพิจารณาคดีข้อหาอาชญากรสงครามไปก่อนหน้านี้

คณะอัยการได้ระบุในเอกสารคำฟ้องว่า เทย์เลอร์จัดหาอาวุธ ฝึกการสู้รบและควบคุมกลุ่มกบฏ Revolutionary United Front (RUF) ที่ตัดแขนขาตลอดจนข่มขืนและสังหารหมู่พลเรือน ทั้งยังกดขี่บังคับให้เด็กอายุเพียง 8 ปี เกณฑ์ทหาร ซึ่งเหมือนกับที่เราดูในภาพยนต์ไม่มีผิดซึ่งก่อนหน้านี้ใครหลายคนคงอาจคิดแค่ว่าเป็นเพียงเรื่องราวในภาพยนต์เท่านั้น 

สำหรับปฏิิกิริยาของชาว เซียร์ราลีโอน นั้น บางคนก็โล่งใจที่ในที่สุด เทย์เลอร์ ก็ถูกนำตัวขึ้นศาล ขณะที่ประชาชนบางส่วนอยากให้มีการพิจารณาและพิพากษาเทย์เลอร์ที่ กรุงฟรีทาวน์  เมืองหลวงของ เซียร์ราลีโอน       

ในการพิจารณคดีครั้งนี้ เทย์เลอร์ประท้วง ด้วยการไม่เข้าฟังการพิจารณาคดี โดยทนายของเขาแก้ต่างต่อศาลว่า ศาลพิเศษแห่งนี้ดำเนินการยังไม่ยุติธรรมต่อตัวเขา, ประชาชนไลบีเรียและเซียร์ราลีโอน อย่างไรก็ตาม การพิจารณาคดีครั้งสำคัญนี้จะสิ้นสุดลงประมาณปลายเดือนธันวาคม ปี 2008 ซึ่งต้องคอยดูจุดจบว่า หากเทย์เลอร์ถูกพิพากษาว่าผิดจริง เขาจะได้รับโทษจำคุกเป็นเวลาระยะเวลานานเท่าใ ไม่ ว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไร แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ผู้มีอำนาจไม่ว่าในนามรัฐหรือขบวนการกลุ่มใดก็ตามต้อง ตระหนักว่า.. การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ไม่ว่าจะการสั่งการโดยตรงหรือมาจากนโยบาย เป็นความผิดสำคัญต่อโลกและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ซึ่งแน่นอน ไม่วันใดวันหนึ่ง จุดจบเขาเหล่านั้นก็จะไม่ต่างกันอย่างแน่นอน!!


มัน ทำให้ผมนึกถึงทักษิณในสงครามฆ่าตัดตอนยาเสพติด, สุจินดาในเหตุการณ์พฤษภา 2535, สนธิในสถานการณ์ความรุนแรง และผู้นำขบวนการฆ่ารายวันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาในทันที ..





ย้อนมาที่ภาพยนต์  สำหรับประชาชนอย่างเราแล้ว ภาพยนต์ Blood Daimond ฉากสุดท้ายตอนที่ Leonardo DiCaprio กำลังจะถึงความตายข้างหน้าผาสีทองและแดดสีเหลือง ขณะที่เลือดก็ซึมสู่พื้นทรายกลายเป็นสีเดียวกัน ดังคำว่า "This is Afrika" นั้น เป็นอุทธาหรณ์ให้เราเป็นอย่างดี


           
แดดสีเหลืองทาบผาสีทอง เราอาจจะไม่มีวันเห็นความสวยงามเช่นนั้น ตราบที่เรายังไม่เคย "ใกล้ตาย".. และหรืออีกสาเหตุหนึ่ง "เพราะเราไม่เคยสังเกตุมัน"..


           
เรา อาจจะเคยฝันถึงดินแดนที่ไม่เคยไป แผ่นดินที่สวยสงบ ท่ามขอบฟ้าสีส้มเรื่อ คราใกล้ค่ำที่ทำเอาหัวใจเปลี่ยวเหงาวังเวงนัก ครั้งลืมตาตื่นมาก็เหมือนโลกนี้อ้างว้าง ปล่าวเปลี่ยวสุดๆ ราวกลับความจริงในหัวใจส่วนลึกถูกขุดค้นพบ.. เราเคยฝันเช่นนั้นไหม..


           
บ้าง ก็ว่ามันสวยงามอย่างไม่เคยเห็น และบ้างก็ว่ามันเป็นสถานที่ที่ไม่เคยไป แต่ท่ามกลางโลกที่วุ่นวายนี้อาจเป็นเพราะเราแทบไม่ได้ชายตามองรอบข้าง ระหว่างทางที่เท้าก้าวผ่านไปเลย  และไม่เคยถามตัวเองสักคำว่า.. นี่เรากำลังจะไปไหนกัน..

            
 หาก นับตะวันขึ้นเป็นแรกเริ่มของการลุกขึ้นก้าวของชีวิต ความสดใสก็ตื่นพร้อมรับกับตะวันนั้น ดังคำที่ว่า คนหนุ่มสาวคืออาทิตย์ยามเช้า.. แต่ครั้นพอเที่ยงวันผันบ่ายเราก็เหนื่อย อ่อนล้า อยากพักผ่อนสักคราใต้ร่มไม้สักต้นที่ปิดใบบังแสงตะวันที่เคยสดใสโลดแล่น นั้น.. ยิ่งยามเย็นก็อยากพักผ่อน เดินเล่น เพื่อผ่อนคลายชีวิต.. และรอเวลาพลบค่ำในวันวัยชราเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
           
เราทุกคนต่างต้องตายไปในวันแดดสีเหลือง แน่นอน ชีวิตจะย้อนกลับมาทบทวนความทรงจำมากมายที่สวยงามและเจ็บร้าว.. เราไม่อาจกลับมาแก้ไขอะไรได้เลย นอกจากเห็นเพียงว่า.. "แดดสีเหลืองเบื้องหน้านี้ช่างสวยงามอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ทำไมเราไม่เคยสังเกตุมัน"..  ดังที่ DiCaprio รำพึงข้างหน้าผานั้น
           
ก่อนที่อุบัติเหตุของชีวิตที่จะพรากเราจากโลก หรือสงครามท่ามกลางกลิ่นควันปืน ในโลกปัจจุบันที่ไม่ปลอดภัยนี้  ที่ซึ่งความตายได้คืบคลานเข้ามาหาเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้   เหตุ ใดมนุษยชาติ, และเราต่างต้องรอที่จะพบพานความงดงามของแดดสีเหลือง ผาสีทองนั้น เพียงชั่วเสี้ยววันแห่งชีวิตที่จะนอนรอความตายเท่านั้น.. ที่ซึ่งมันคงจะอยู่กับเราไม่นานนัก!!
           
มนุษยชาติ หลายสมัยเข่นฆ่ากันเพียงเพื่อแย่งชิงอำนาจแทนที่จะหยิบยื่นไมตรีและความรัก ในเพื่อนมนุษย์ให้แก่กัน, เราในปัจจุบันก็แก่งแย่งแข่งขันเพื่อครอบครองและเดินไปสู่จุดหมายแห่งความ สุขแห่งปัจเจกที่โดดเดี่ยวต่อสัมพันธ์ยิ่งนัก ..




เทย์เลอร์, DiCaprio, บุช, ซัดดัม, ทักษิณ, สนธิ, สุรยุทธุ์ และเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย.. 





ก่อนที่เราต่างต้องตายไปในวันแดดสีเหลือง ทำไมเราไม่ร่วมกันสร้างฟ้าสีทอง..” 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น