5 อาจารย์นิติฯ มธ.’ออกแถลงการณ์และบทวิเคราะห์ 'คำพิพากษาคดียึดทรัพย์

17/3/53
บทวิเคราะห์คำพิพากษา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

กรณีขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

โดย กลุ่ม 5 อาจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

(ฉบับสรุปย่อ)

ประเด็นที่ 1 ความสัมพันธ์ของคดีกับรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

๐ ต้นธารของกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้เริ่มต้นจากรัฐประหาร ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นที่มาของ คตส. เมื่อ คปค.ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และการรัฐประหารก็เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดทางอาญา มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และเป็นสิ่งแปลกปลอมในรัฐเสรีประชาธิปไตย ประกอบกับพิจารณาทางความเป็นจริงก็เห็นว่าคดีที่ คตส.เลือกขึ้นมาพิจารณาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ ย่อมชี้ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในคดีนี้เริ่มต้นจากความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายดุจกัน

๐ หากแม้นยอมเชื่อกันตามประเพณีของระบบกฎหมายไทยที่ว่า เมื่อคณะรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อนั้นคณะรัฐประหารก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ คณาจารย์ทั้งห้าก็ยังคงเห็นว่า เมื่อรัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว และคณะรัฐประหารได้ให้กำเนิดผลิตผลทางกฎหมายจำนวนมาก จนกระทั่งวันหนึ่งมีการจัดตั้งระบบกฎหมายชุดใหม่ผ่านการจัดให้มีรัฐธรรมนูญ องค์กรผู้ใช้บังคับกฎหมายทั้งหลาย ต้องพิจารณาใช้และตีความผลิตผลทางกฎหมายของคณะรัฐประหารเสียใหม่ให้เป็นไปในทางที่เป็นธรรม คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าองค์กรเหล่านี้ควรกล้าปฏิเสธรัฐประหารและผลผลิตของคณะรัฐประหารด้วยการไม่นำประกาศ คปค.มาใช้บังคับในคดี และไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่ริเริ่มจากคณะรัฐประหาร

ประเด็นที่ 2 ความเป็นกลางขององค์กรที่ทำหน้าที่ไต่สวน

๐ ศาลฎีกาฯไม่ได้ยกเหตุผลหรืออธิบายให้เห็นชัดเลยว่าการกระทำของบุคคลทั้งสามมีความเป็นกลางหรือไม่ ศาลเพียงแต่บอกว่า “เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย” “เป็นการแสดงออกโดยใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” “เป็นการดำเนินการโดยใช้ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ” “เป็นการแสดงออกในฐานะนักวิชาการและประชาชน” “เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย” “เป็นการแสดงความเห็นทางวิชาการ วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความชอบธรรม ไม่มีเหตุโกรธเคืองเป็นการส่วนตัว ไม่มีส่วนรู้เห็นเหตุกาณ์โดยตรง” เหตุผลเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมหรือการกระทำเหล่านี้จะไม่ได้แสดงถึง “ความไม่เป็นกลาง” ของบุคคลทั้งสาม ตรงกันข้าม สมมติว่าหากพิจารณาโดยเนื้อแท้แล้วการกระทำนั้นยังคงมีสภาพร้ายแรงเพียงพอที่จะเห็นได้ว่าอาจทำให้การพิจารณาไม่เป็นกลางได้ อย่างไรเสียก็คือ “ ความไม่เป็นกลาง” แม้การกระทำนั้นจะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย หรือเป็นการใช้เสรีภาพทางวิชาการก็ตาม

๐ เป็นที่ทราบกันดีว่า คตส. แต่งตั้งโดย คปค. และ คปค.เป็นผู้ก่อการรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่ คตส. เลือกพิจารณาตรวจสอบเฉพาะเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ความข้อนี้ย่อมเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยถึงความไม่เป็นกลางของ คตส. ต่อการพิจารณาเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ฯได้

๐ เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมและทัศนคติของคตส.และอนุกรรมการไต่สวนทั้งสามคน ในแง่การให้ความเห็นเป็นปฏิปักษ์กับพ.ต.ท.ทักษิณฯหลายครั้งทั้งก่อนและระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ คตส. การร่วมชุมนุมและขึ้นเวทีอภิปรายกับกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณฯ การอภิปรายและเขียนบทความวิจารณ์การดำเนินนโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณไปในทางไม่เห็นด้วยและเห็นว่าน่าจะส่อทุจริตและใช้อำนาจโดยมิชอบ การจัดงานเลี้ยงอำลาเนื่องในโอกาส คตส.หมดวาระ โดยจัดทำชื่อรายการอาหารล้อเลียนนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าข้อเท็จจริงเหล่านี้ควรที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วย

ประเด็นที่ 3 การแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต

๐ ในการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต รัฐยังคงได้ประโยชน์เท่าเดิม เพียงแต่เงินรายได้ค่าสัมปทานให้แก่รัฐถูกแบ่งจ่ายเป็นสองส่วน กล่าวคือ จ่ายให้บริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจคู่สัญญา (ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละ 100) กับจ่ายให้กระทรวงการคลังโดยตรงในส่วนที่เหลือ ดังนั้น การที่บริษัททีโอที และบริษัท กสท. โทรคมนาคม มีรายได้ลดลงดังกล่าวจะถือว่ารัฐเสียประโยชน์ไม่ได้ เพราะกระทรวงการคลังได้รับเงินส่วนหนึ่งจากค่าสัมปทานโดยตรงอยู่แล้ว อาจกล่าวได้ว่ารัฐได้ประโยชน์ยิ่งกว่าเดิม เพราะค่าสัมปทานนั้น เดิมบริษัทเอกชนชำระแก่คู่สัญญาเป็นรายปีหรือรายไตรมาส แต่การชำระเงินรายได้ร้อยละ 10 ให้แก่กระทรวงการคลังนั้น เป็นการชำระรายเดือน

๐ ส่วนประเด็นที่ว่ารัฐบาลไม่ได้มีเหตุผลในการเรียกเก็บภาษีเพื่อหารายได้เข้ารัฐนั้น คณาจารย์ทั้งห้า เห็นว่า การที่รัฐบาลจะเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตในกิจการประเภทใด เพราะเหตุใด อัตราเท่าใด ย่อมเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารดังที่ศาลรัฐธรรมนูญในคำวินิจฉัยที่ 32/2548 ได้วินิจฉัยไว้ และการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตก็มีส่วนทำให้รายได้สัมปทานเข้าสู่รัฐโดยตรงโดยไม่ต้องสูญเสียไปให้แก่บริษัท กสท โทรคมนาคม หรือ บริษัท ทีโอที อีกด้วย

๐ สำหรับประเด็นที่ว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวส่งผลให้ บริษัท ทีโอที และ บริษัท กสท โทรคมนาคม อ่อนแอลง เพราะได้รับค่าสัมปทานน้อยลงนั้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการบริหารงาน ตลอดจนให้เงินอุดหนุนตามความเหมาะสมและจำเป็นได้อยู่แล้ว และที่จริงแล้ว การนำเงินค่าสัมปทานส่งกระทรวงการคลังทั้งหมด แล้วให้กระทรวงการคลังอุดหนุนการประกอบกิจการของบริษัททีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคมนั้นหากบริษัททั้งสองสามารถแสดงเหตุผลความจำเป็นได้ย่อมเป็นหลักการที่ถูกต้องยิ่งกว่าการให้บริษัททั้งสองได้รับเงินค่าสัมปทานโดยตรงและนำไปใช้จ่ายโดยเสรีอีกด้วย อีกทั้งยังคิดในเชิงนโยบายได้อีกว่า การกำหนดภาษีสรรพสามิตเป็นการกระตุ้นให้บริษัททั้งสองเร่งประกอบกิจการที่เป็นของตนเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง โดยเน้นให้บริษัททั้งสองประกอบธุรกิจของตนเอง มากกว่าที่จะพึ่งพิงรายได้สัมปทานอันเป็นสิทธิพิเศษที่รัฐเคยมอบให้ในฐานะที่เดิมเคยเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติซึ่งปัจจุบันสถานะนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว

๐ สำหรับประเด็นที่ว่า รัฐบาลไม่ควรลดรายได้ของบริษัททีโอทีลง เพราะบริษัทเอไอเอสได้รับประโยชน์ในเรื่องการใช้ทรัพย์สินและเครื่องอุปกรณ์ซึ่งเป็นของ ทศท.รวมไปถึงการประกอบธุรกิจในลักษณะผูกขาดแต่ผู้เดียวนั้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าทรัพย์สินและเครื่องอุปกรณ์นั้น เป็นทรัพย์สินที่บริษัทเอไอเอส ตกลงสร้างให้แก่รัฐโดยผ่านองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเดิม ดังนั้น การได้รับสิทธิในการใช้เครื่องและอุปกรณ์ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผลในเชิงนโยบายและการประกอบธุรกิจ สิทธิที่บริษัทเอไอเอสได้รับนี้จึงเกิดจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทนทางธุรกิจจากการที่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยสินให้แก่รัฐ ไม่ใช่ว่าบริษัทเอไอเอสได้รับสิทธิพิเศษในการใช้ทรัพยสินของรัฐแต่อย่างใด

นอกจากนี้ การที่บริษัทเอไอเอสตกลงโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเดิมนั้น ก็เป็นการตกลงโอนให้แก่รัฐโดยบริษัททีโอทีถือกรรมสิทธิ์แทนเท่านั้น รายได้สัมปทานจึงเป็นของรัฐ กล่าวคือประชาชนทุกคน ไม่ใช่เป็นสิทธิขาดของบริษัททีโอที ในประเด็นที่ว่าบริษัทเอไอเอสได้รับสิทธิขาดจากรัฐในการผูกขาดกิจการโทรคมนาคมดังนั้น จึงไม่ควรที่จะให้นำภาษีมาหักจากค่าสัมปทานที่บริษัททีโอทีได้รับนั้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าบริษัทเอไอเอสไม่ได้รับเอกสิทธิจากรัฐในการผูกขาดกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่อย่างใด เพราะไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจบริษัทเอไอเอสเช่นว่านั้น และในทางข้อเท็จจริง บริษัทเอไอเอสก็มีคู่แข่งทางธุรกิจหลายราย ดังนั้น การที่จะกำหนดเป็นการตายตัวว่ารายได้สัมปทานทั้งหมดอันเป็นของแผ่นดินจะต้องตกได้แก่บริษัททีโอที ทั้งหมด ไม่ต้องส่งตรงไปยังกระทรวงการคลังในฐานะภาษีสรรพสามิตเพราะบริษัทเอไอเอสได้รับสิทธิในการใช้ทรัพย์สินของบริษัททีโอทีหรือได้รับสิทธิผูกขาดจากรัฐ คณาจารย์ทั้งห้าไม่เห็นพ้องด้วย

๐ หากคณะรัฐมนตรีไม่มีมติให้นำภาษีสรรพสามิตหักออกจากค่าสัมปทาน ผลที่เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งต่อประชาชนก็คือ บริษัทเอกชนที่ประกอบกิจการโทรคมนาคมจะต้องชำระค่าสัมปทานในกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ร้อยละ 20 ร้อยละ 25 และร้อยละ 30 และในกิจการโทรศัพท์ประจำที่ร้อยละ 16 และร้อยละ 43 และจะต้องชำระภาษีสรรพสามิตอีกร้อยละ 10 ซึ่งบริษัทเอกชนเหล่านั้นย่อมมีสิทธิโดยชอบที่จะผลักภาระภาษีสรรพสามิตร้อยละ 10 ไปให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ การดำเนินการในลักษณะดังกล่าวโดยคณะรัฐมนตรีจึงมีลักษณะเป็นมาตรการชั่วคราวเชิงนโยบายที่จะป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อราคาค่าบริการโทรคมนาคมเท่านั้นและมิได้เป็นการขัดขวางลิดรอนอำนาจของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมแต่อย่างใดซึ่งศาลรัฐธรรมนูญในคำวินิจฉัยที่ 32/2548 ก็ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจนแล้ว ที่ศาลฎีกาฯเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวทำให้รัฐเกิดความเสียหายนั้น คณาจารย์ทั้งห้าไม่เห็นพ้องด้วย

๐ สำหรับประเด็นที่ว่าการตรา พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต ทั้งสองฉบับมีลักษณะเป็นการกีดกันผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมรายใหม่ เพราะผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมรายใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดนอกจากจะต้องชำระค่าธรรมเนียมและค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมให้แก่ กทช.แล้ว ยังจะต้องเสียภาษีสรรพสามิตอีกด้วยนั้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าการจะวินิจฉัยลงไปว่าการดำเนินการดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกีดกันคู่แข่งรายใหม่ อันจะทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจโทรคมนาคมอย่างเช่น บริษัทเอไอเอส ดีแทค หรือทรูมูฟ ได้ประโยชน์หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาจากรายได้ที่ผู้ประกอบการรายใหม่จะได้รับจากการเข้าตลาด และต้นทุนในการเข้าตลาดว่า ในท้ายที่สุด การเข้าตลาดโดยต้องเสียภาษีสรรพสามิตรด้วยนั้น ผู้ประกอบการรายใหม่จะยังคงได้รับกำไรในการประกอบธุรกิจหรือไม่ และศึกษาเปรียบเทียบต้นทุนระหว่างผู้ประกอบการรายใหม่และรายเก่าประกอบด้วย

๐ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว จะเห็นได้ว่าบริษัทที่ประกอบกิจการโทรคมนาคมรายใหม่ที่เข้าสู่ตลาดนั้น จะไม่ได้เข้าสู่ตลาดโดยฐานของสัญญาสัมปทาน (โดยเป็นคู่สัญญากับรัฐวิสาหกิจ) อีกต่อไป แต่จะเข้าสู่ตลาดโดยการได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรคมนาคมจาก กทช. ซึ่งเมื่อพิจารณาภาระค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นแล้ว พบว่าในขณะที่เกิดปัญหานี้ขึ้น บริษัทประกอบกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหลายจะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการให้แก่คู่สัญญาฝ่ายรัฐและภาษีสรรพสามิตเป็นจำนวนรวมกันแล้วร้อยละ 20 ร้อยละ 25 และร้อยละ 30 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายทั้งปวง ในขณะที่หากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาด ผู้ประกอบการรายใหม่จะต้องเสียภาษีสรรพสามิตร้อยละ 10 และจะต้องเสียค่าธรรมเนียมและค่า USO ให้แก่ กทช. อีกรวมแล้วประมาณในอัตราร้อยละ 7 ใน พ.ศ.2548 และ ไม่เกินร้อยละ 6 ในปัจจุบัน รวมแล้วผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมรายใหม่จะมีภาระค่าใช้จ่ายประมาณร้อยละ 17 ใน พ.ศ.2548 และร้อยละ 16 ในปัจจุบัน และยังสามารถหักค่าลดหย่อนต่างๆตามที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติกำหนดได้อีกด้วย จะเห็นได้ว่าต้นทุนเกี่ยวกับการขออนุญาตในการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ประกอบการรายเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการใหม่แล้ว ต้นทุนของผู้ประกอบการรายเดิมก็ยังสูงกว่าอยู่ดี

๐ คณาจารย์ทั้งห้า จึงเห็นว่า การเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่มีต้นทุนในการประกอบกิจการสูงกว่าจุดคุ้มทุนจนเข้าสู่ตลาดไม่ได้ นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าผู้ประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายเดิมจะมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ในขณะที่ผู้ประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหม่ไม่มีฐานลูกค้าเลย แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจที่ผู้ประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหม่จะต้องค่อยๆสร้างฐานลูกค้าของตนขึ้นโดยแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต่างจากกรณีของกิจการอื่นๆทั่วไปที่ย่อมจะมีผู้ที่เข้าตลาดก่อนและหลัง การที่ผู้ประกอบการรายเก่าเข้าสู่ตลาดและรับเอาความเสี่ยงทางธุรกิจต่างๆไปก่อนก็ไม่ใช่ความผิดที่รัฐจะพึงลงโทษโดยการเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมในการประกอบกิจการโทรคมนาคมให้สูงกว่ารายใหม่

๐ ในประเด็นที่ว่า หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ขึ้นภาษีสรรพสามิตในอัตราสูงถึงร้อยละ 25 ก็จะทำให้บริษัท ทีโอทีต้องนำค่าสัมปทานที่ได้รับจากบริษัทเอไอเอส ไปชำระให้แก่กรมสรรพสามิตทั้งหมด ทำให้บริษัททีโอทีเสียหายนั้น คณาจารย์ทั้งห้า เห็นว่า รัฐไม่ได้สูญเสียรายได้แม้จะมีการใช้ดุลพินิจเช่นนั้น เพราะรัฐยังได้รับรายได้เท่าเดิม นอกจากนี้ การที่จะคาดการณ์ว่าในอนาคต อาจมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตไปเป็นอัตราร้อยละ 25 ทำให้บริษัททีโอทีไม่ได้รับค่าสัมปทานเลยนั้น ก็เป็นการคาดการณ์ในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง หากสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงไปจนมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีสรรพสามิต กทช.และรัฐบาลในแต่ละขณะย่อมต้องใช้ดุลพินิจในการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตและค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการโทรคมนาคมของผู้ประกอบการรายใหม่และรายเก่าให้มีความสมดุลกัน เพื่อความเท่าเทียมกันในการแข่งขัน

๐ ถึงแม้ว่าคณาจารย์ทั้งห้าจะเห็นว่าการตราพระราชกำหนดว่าด้วยภาษีสรรพสามิตทั้งสองฉบับ อาจมีข้อโต้แย้งทางวิชาการได้ว่าเป็นการตราพระราชกำหนดที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ และเห็นว่าการใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรคมนาคมนั้น เป็นการใช้เครื่องมือที่สามารถถกเถียงกันได้ในทางวิชาการว่าไม่น่าจะเหมาะสมและไม่สอดคล้องกับลักษณะของกิจการโทรคมนาคมก็ตาม แต่เมื่อในประเด็นนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงถือเป็นอันยุติสำหรับการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชกำหนด และเมื่อยังไม่ปรากฏว่าหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่มีอยู่นี้จะเป็นอุปสรรค กีดกันไม่ให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดดังที่ได้แสดงให้เห็นข้างต้น คณาจารย์ทั้งห้าจึงเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าการตราพระราชกำหนดว่าด้วยภาษีสรรพสามิตทั้งสองฉบับและมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พตท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีผลเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ในกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่มิให้เข้าตลาด อันจะเป็นการจำกัดการแข่งขันในกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ศาลฎีกาฯเห็นว่าการตราพระราชกำหนดดังกล่าว การออกประกาศกระทรวงการคลัง รวมทั้งการมีมติคณะรัฐมนตรีให้นำภาษีสรรพสามิตหักออกจากค่าสัมปทานเป็นการกีดกันผู้ประกอบกิจการรายใหม่ เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ป คณาจารย์ทั้งห้าไม่อาจเห็นพ้องด้วยได้

ประเด็นที่ 4 การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่

๐ การปรับลดส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ บริษัทเอไอเอส นั้นแม้จะมีเหตุมาจากการการที่ ทศท.ลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายในส่วนของการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนแบบพรีเพดก็ตาม แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นดุลพินิจของคู่สัญญาฝ่ายรัฐซึ่งจะต้องใช้โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการ และประโยชน์ต่อสาธารณะเป็นสำคัญ ไม่ใช่คำนึงถึงประโยชน์ด้านฐานะการเงินขององค์กรแต่เพียงอย่างเดียว

๐ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการมีมติในเรื่องการลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้กับเอไอเอสนั้น คณะกรรมการ ทศท. กำหนดเงื่อนไขให้ ทศท. เจรจากับเอไอเอสให้ได้ข้อยุติในการนำส่งส่วนแบ่งรายได้ให้ ทศท.เป็นรายเดือน และนำผลประโยชน์ที่เอไอเอสได้รับในครั้งนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้ใช้บริการ และหลังจากปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้แล้ว ปรากฏว่าเอไอเอสได้ปรับลดค่าใช้บริการให้แก่ผู้ใช้บริการมากกว่าอัตราที่กำหนดในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเห็นได้ชัดว่า การปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ใช้บริการ ทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มเติมขึ้น ส่งผลให้ ทศท.มีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วย การเติบโตของตลาดโทรคมนาคมในแต่ละปี เป็นการเติบโตไปตามสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจและเป็นธรรมดาอยู่เองที่จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือจะเพิ่มขึ้น การที่จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มสูงขึ้นนั้นย่อมไม่ได้เป็นผลโดยตรงมาจากการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้แต่เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยหลายประการประกอบกัน ที่สำคัญก็คือ การลดค่าบริการให้แก่ผู้บริโภคเพื่อแข่งขันและแย่งลูกค้าในตลาด จนทำให้บริษัทเอไอเอสมีลูกค้า พรีเพดจำนวนมาก เป็นประโยชน์แก่ทั้งบริษัททีโอที และประชาชน ซึ่งเรื่องนี้เป็นทางเลือกเชิงนโยบายของบริษัททีโอทีว่าจะเรียกเก็บค่าสัมปทานจากบริษัทเอไอเอสในอัตราที่สูงและส่วนแบ่งตลาดอาจไม่มาก อีกทั้งประชาชนจะต้องชำระค่าบริการในราคาที่แพง หรือจะเลือกว่าเรียกเก็บค่าสัมปทานน้อยลงเพื่อให้บริษัทเอไอเอสยังคงความได้เปรียบในตลาดไว้บ้าง แต่ก็เป็นประโยชน์แก่บริษัททีโอทีในเรื่องการรักษาส่วนแบ่งตลาดและหวังจะได้รับรายได้สูงมากขึ้นจากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นและก็ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์ในค่าบริการที่ลดลง

๐ แม้ศาลฎีกาฯจะเห็นว่าการลดค่าบริการให้แก่ผู้บริโภคจะเป็นผลมาจากการแข่งขันกันทางการค้า การที่เอไอเอสปรับลดค่าใช้บริการให้แก่ลูกค้าจึงเป็นไปตามกลไกตลาดนั้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่า หากไม่มีการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้เสียแล้ว เงื่อนไขของบริษัทเอไอเอสในการแข่งขันในตลาดย่อมเปลี่ยนแปลงไป และบริษัทเอไอเอสก็ย่อมไม่สามารถลดค่าบริการได้ถึงขนาดที่ได้กระทำไปแล้ว อีกทั้งย่อมต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปบ้าง และกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจไม่เติบโตถึงขนาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

๐ เมื่อพิเคราะห์จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ประกอบกับการได้รับส่วนแบ่งรายได้ในภาพรวมที่เพิ่มสูงขึ้นของบริษัททีโอที และผลประโยชน์ที่ตกแก่ผู้บริโภคโดยตรงในการได้ใช้โทรศัพท์มือถือในราคาที่ถูกลงและความเจริญเติบโตในอุตสาหกรรมแล้ว คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพดเป็นทางเลือกเชิงนโยบายของบริษัท ทีโอทีที่สืบเนื่องมาจากโครงสร้างที่บกพร่องที่ภาครัฐกำหนดขึ้นก่อนหน้านี้ จึงถือไม่ได้ว่ามีการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอสโดยไม่ชอบ

ประเด็นที่ 5 การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายรวมหรือโรมมิ่ง (Roaming)

๐ ประเด็นที่ว่าบริษัทเอไอเอสได้เจรจาต่อรองให้ตนเองสามารถขยายโครงข่ายโทรศัพท์โดยการร่วมใช้โครงข่ายกับบริษัทลูกของตน กล่าวคือ บริษัทดีพีซี ซึ่งได้รับสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่จาก บมจ. กสท.ได้หรือไม่และจะสามารถต่อรองเพื่อนำค่าใช้โครงข่ายร่วมที่บริษัทเอไอเอสชำระให้แก่บริษัทดีพีซี มาหักออกจากค่าสัมปทานที่บริษัทเอไอเอสต้องจ่ายให้แก่บมจ. ทีโอทีได้หรือไม่นั้น เป็นประเด็นการต่อรองทางธุรกิจปกติระหว่างบริษัททีโอทีและบริษัทเอไอเอสที่จะตกลงกัน เป็นทางเลือกในการประกอบธุรกิจของคู่สัญญา

๐ สำหรับประเทศไทย

ย่านความถี่ 900 MHz ที่จะจัดสรรได้นั้น
บริษัทเอไอเอส

ได้ใช้เต็มจำนวนแล้ว แต่บริษัทเอไอเอส ไม่ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz จากภาครัฐ เพราะ

ย่านคลื่นความถี่ 1800 MHz นั้น
บริษัท แทค
บริษัท ทรูมูฟ และ
บริษัท ดีพีซี

ได้รับสิทธิในการใช้ภายใต้สัญญาสัมปทานของ กสท. และได้ใช้อยู่กันจนเต็มย่าน แล้ว บริษัทเอไอเอส รวมทั้งบริษัททีโอที ซึ่งมีหน้าที่หาคลื่นความถี่ตามสัญญาสัมปทานให้บริษัทเอไอเอส จึงไม่สามารถหาย่านคลื่นความถี่ใดมาใช้ให้เพียงพอกับโครงข่ายการให้บริการของ บริษัทเอไอเอส ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดความคับคั่งเป็นผลเสียต่อคุณภาพการให้บริการดังนั้น บริษัทเอไอเอสย่อมไม่มีทางเลือกอื่นในการที่จะขยายข่ายการให้บริการรองรับการขยายตัวของผู้ใช้บริการของตน หนทางแก้ปัญหาจึงมีเหลือทางเดียว คือ ต้องร่วมใช้โครงข่ายโทรคมนาคมที่บริษัทดีพีซีบริหารงานอยู่ โดยใช้วิธีการทางเทคนิคที่เรียกว่า Roaming ซึ่งมีการแปลเป็นภาษาไทยว่า การขอใช้โครงข่ายโทรคมนาคมของผู้ประกอบการรายอื่น ดังนั้น เรื่องของการ Roaming จึงเป็นเรื่องปกติวิสัย ไม่ใช่เป็นการเอารัดเอาเปรียบทางธุรกิจแต่อย่างใด

๐ กรณีดังกล่าวย่อมเป็นทางเลือกทางธุรกิจที่บริษัททีโอทีกีบบริษัทเอไอเอสจะตกลงกันได้ และเป็นเรื่องในทางนโยบายที่เป็นผลดียังเกิดแก่ประชาชนด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การที่บริษัทเอไอเสใช้โครงข่ายร่วมกับ บริษัทดีพีซี ยังเป็นผลดีต่อประเทศในแง่การที่ไม่ต้องมีการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซ้ำซ้อนกันในบางพื้นที่โดยไม่จำเป็นอันจะเป็นการก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและจะเป็นการทำให้เกิดต้นทุนในการประกอบกิจการสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าใช้บริการที่จะต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการที่ศาลฎีกาฯได้วินิจฉัยว่า การที่บริษัทเอไอเอสและบริษัททีโอทีตกลงกันเพื่อนำค่าใช้โครงข่ายร่วม อันเป็นความรับผิดชอบของบริษัทเอไอเอส มาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้สัมปทาน เป็นการกระทำความเสียหายให้แก่ ทศท. คณาจารย์ทั้งห้าไม่เห็นพ้องด้วย

ประเด็นที่6การละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนกิจการดาวเทียม ตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ

๐ ในการจัดให้มีระบบดาวเทียมสำรองนั้น สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ระหว่างกระทรวงคมนาคม กับ บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ข้อ 6 กำหนดไว้ว่าคุณสมบัติการใช้งานของดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองตั้งแต่ดวงที่สองเป็นต้นไปจะต้องมีคุณสมบัติไม่ด้อยกว่าคุณสมบัติการใช้งานของดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองดวงที่หนึ่ง ทั้งนี้โดยมีการกำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของดาวเทียมดวงที่หนึ่งไว้ในข้อ 8 ของสัญญาดังกล่าวรวมทั้งกำหนดไว้ด้วยว่าคุณสมบัติการใช้งานของดาวเทียมสำรองดวงที่หนึ่งอย่างน้อยจะต้องไม่ด้อยกว่าคุณสมบัติการใช้งานของดาวเทียมดวงที่หนึ่ง และทดแทนดาวเทียมหลักดวงที่หนึ่งเพื่อสามารถใช้งานได้โดยต่อเนื่อง สัญญาดังกล่าวไม่ได้กำหนดคุณสมบัติเฉพาะของดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองตั้งแต่ดวงที่สองเป็นต้นไปไว้

๐ ในกรณีของ ดาวเทียมไอพีสตาร์ นั้น เห็นได้ชัดว่าบริษัทผู้รับสัมปทานมุ่งประสงค์จะให้เป็น ดาวเทียมสำรอง ของ ดาวเทียมไทยคม 3 เพียงแต่ได้พัฒนาเทคโนโลยี่ให้สูงขึ้น ดังที่ปรากฏในคำพิพากษาว่าดาวเทียมไอพีสตาร์มีคุณสมบัติทางเทคนิคพัฒนาขึ้นเป็นการเฉพาะครั้งแรกของโลกตามที่จดสิทธิบัตรไว้ และปรากฏชัดเจนว่าคุณสมบัติของดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่ด้อยไปกว่าดาวเทียมดวงอื่นๆ ด้วยเหตุนี้คณาจารย์ทั้งห้าจึงเห็นว่าบริษัทผู้รับสัมปทานได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาแล้ว

๐ การมีดาวเทียมสำรองที่มีคุณสมบัติทางเทคนิคที่พัฒนาขึ้นใหม่ดีกว่าดาวเทียมหลัก เป็นดาวเทียมที่มีประสิทธิภาพสูงและครอบคลุมพื้นที่การให้บริการมากกว่าย่อมเป็นผลดีต่อการจัดทำบริการสาธารณะ ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่ถือว่าเป็นดาวเทียมสำรองของ ดาวเทียมไทยคม 3 ดวงต่อดวงได้ด้วยเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน แต่เป็นดาวเทียมหลักดวงใหม่นั้น คณาจารย์ทั้งห้าไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากในสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศไม่มีที่ใดเลยที่ระบุให้ดาวเทียมสำรองต้องใช้เทคโนโลยีเดียวกับดาวเทียมหลัก เพียงแต่ระบุว่าคุณสมบัติการใช้งานของดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองตั้งแต่ดวงที่สองเป็นต้นไปจะต้องมีคุณสมบัติไม่ด้อยกว่าคุณสมบัติการใช้งานของดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองดวงที่หนึ่งเท่านั้น

๐ ที่ศาลฎีกาฯเห็นว่าดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่มีย่านความถี่ ซี-แบน ที่จะให้กระทรวงคมนาคมใช้จำนวน 1 วงจรดาวเทียมตามสัญญา เพราะดาวเทียมไอพีสตาร์ใช้ย่านความถี่เคยู-แบน และย่านความถี่เคเอ-แบน นั้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลทางเทคนิคที่ศาลฎีกาฯสามารถค้นหาข้อเท็จจริงได้เองตามหลักการพิจารณาคดีในระบบไต่สวนแล้วจะเห็นได้ว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์สามารถรองรับความถี่ซี-แบนได้ แต่ต้องมีสถานีสัญญาน และกรณีนี้ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในคำพิพากษาที่แสดงว่ากระทรวงคมนาคมโต้แย้งว่าตนไม่ได้ใช้วงจรดาวเทียมเพราะเหตุว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์ ไม่มีย่านความถี่ซี-แบนแต่อย่างใด

๐ สำหรับกรณีที่ศาลฎีกาฯเห็นว่าดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมหลักที่สร้างขึ้นเพื่อการสื่อสารระหว่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากเอกสารขอรับการส่งเสริมการลงทุน บริษัทมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อมุ่งหวังทางการค้าต่างประเทศนั้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศข้อ 11 ระบุอนุญาตให้บริษัทสามารถนำวงจรดาวเทียมเหลือจากปริมาณความต้องการในประเทศไปให้ประเทศอื่นใช้ได้โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคม ในการวางแผนการตลาดนั้น เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาความต้องการการใช้วงจรดาวเทียมทั้งในและต่างประเทศว่าเป็นอย่างไร ในคำพิพากษาดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงใดที่แสดงให้เห็นว่าเกิดความขาดแคลนในการใช้วงจรดาวเทียมของผู้ใช้วงจรดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เมื่อปริมาณความต้องการการใช้วงจรดาวเทียมในประเทศยังมีไม่มากนัก การที่บริษัทนำวงจรดาวเทียมที่เหลือจากความต้องการในประเทศไปให้ประเทศอื่นใช้โดยได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาฝ่ายรัฐ จึงชอบแล้ว อีกทั้งการวางแผนการตลาดในการนำวงจรดาวเทียมออกให้บุคคลอื่นใช้บริการนั้นไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศโดยคำนวณตามความต้องการของตลาด ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาทางธุรกิจ ที่ศาลฎีกาฯเห็นว่าการอนุมัติให้ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมสำรองเป็นการกระทำที่ทำให้รัฐเสียหายและเอื้อประโยชน์นั้น คณาจารย์ทั้งห้าไม่เห็นพ้องด้วย

ประเด็นที่ 7 การอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงิน จาก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

๐ การพิจารณาดำเนินการให้รัฐบาลต่างประเทศกู้เงินนั้น เป็นการดำเนินการตามนโยบายในทางบริหารซึ่งต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย การดำเนินการดังกล่าวฝ่ายบริหารย่อมมีดุลพินิจที่พิจารณาให้เกิดประโยชน์สูงสุดซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายด้านประกอบกัน หากในการเจรจาในทางระหว่างประเทศเกี่ยวกับการให้กู้เงินมีการแลกเปลี่ยนประโยชน์ตอบแทนด้านต่างๆ ไม่ว่าการให้สัมปทานบ่อแก๊ส การช่วยปราบปราม ยับยั้งการค้ายาเสพติดตามแนวชายแดน ฯลฯ คณาจารย์ทั้งห้าก็เห็นว่าการเจรจาแลกเปลี่ยนตอบแทนดังกล่าวชอบที่ฝ่ายบริหารจะทำได้ หากอยู่ในกรอบของกฎหมาย และเป็นดุลพินิจโดยแท้ในทางบริหาร เป็นเรื่องในทางนโยบาย ซึ่งหากไม่เหมาะสม ก็เป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะตรวจสอบในทางการเมืองต่อไป หากฝ่ายบริหารไม่มีดุลพินิจดังกล่าวนี้ย่อมเป็นการยากอย่างยิ่งที่ฝ่ายบริหารจะปฏิบัติภารกิจในการปกครองประเทศให้สำเร็จลุล่วงลงไปได้

๐ สำหรับกรณีที่เป็นปัญหานี้ แม้จะได้ความว่าบริษัทไทยคมจะได้จำหน่ายสินค้าและให้บริการให้รัฐบาลสหภาพพม่า อันอาจมองได้ว่าการจำหน่ายสินค้าและให้บริการดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลได้อนุมัติเงินกู้ให้แก่รัฐบาลพม่าก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าก่อนหน้านี้บริษัทไทยคมก็ได้ขายสินค้าให้แก่รัฐบาลพม่าตามพันธะสัญญาที่มีต่อกันมาแต่เดิมอยู่แล้ว นอกจากนี้การซื้อสินค้าและบริการด้านคมนาคมนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ชื้อเป็นสำคัญว่าจะซื้อจากบริษัทใด เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่ารัฐบาลพม่าไม่สามารถที่จะซื้อสินค้าและบริการดังกล่าวจากประเทศหลายประเทศได้ เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง เมื่อรัฐบาลพม่าเคยซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทไทยคมอยู่ก่อนแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยที่รัฐบาลพม่าจะซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทไทยคมต่อไปอีก ด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้นคณาจารย์ทั้งห้าจึงเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอที่จะฟังได้ว่าคณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อนุมัติเงินกู้ให้แก่รัฐบาลพม่าเพื่อให้รัฐบาลพม่าไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัทไทยคมโดยเฉพาะอันมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทไทยคมและบริษัทชินคอร์ป

ประเด็นที่ 8 การดำเนินการตามข้อกล่าวหาทั้งห้ากรณีเป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของ ชินคอร์ป หรือไม่

๐ การมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรจะต้องเป็นผลมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ ซึ่งเท่ากับระบบกฎหมายเรียกร้องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล (causation) ในเรื่องดังกล่าว หากการมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือการมีหนี้สินลดลงผิดปกติ หรือการได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร ไม่ได้เป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่แล้ว ศาลย่อมไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้

๐ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า การดำเนินการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา หากไม่อยู่ในรูปของมติคณะรัฐมนตรี ก็เป็นการสั่งการโดยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง หรือคณะกรรมการที่มีอำนาจตามกฎหมาย เช่น คณะกรรมการ ทศท. เป็นต้น ไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้สั่งการหรืออนุมัติโดยตรง และไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สั่งให้รัฐมนตรีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว หรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กล่าวหาเลย กรณีที่ พตท.ทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวพันโดยตรงก็คือกรณีที่เรื่องที่อนุมัตินั้นอยู่รูปของมติคณะรัฐมนตรี แต่แม้กระนั้นในทางกฎหมายก็ถือว่า คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรกลุ่ม (collegial organ) แยกออกต่างหากจากนายกรัฐมนตรี ในการออกเสียงในคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็มีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนนเสียงเท่ากับรัฐมนตรีอื่น จึงไม่อาจถือว่าการกระทำของคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ ลำพังแต่ข้อกฎหมายที่ว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในฝ่ายบริหาร มีอำนาจบังคับบัญชา กำกับดูแลหน่วยงานทั้งหลายทั้งปวงของรัฐในฝ่ายบริหารยังไม่เพียงพอที่จะชี้ว่ามีการกระทำ และการกระทำคือการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่แต่อย่างใด โดยเหตุที่กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่ขาดความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล คณาจารย์ทั้งห้าจึงไม่เห็นพ้องด้วยกับการที่ศาลฎีกาฯสั่งให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นของแผ่นดิน

๐ แม้จะถือตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯในคดีนี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ แต่การที่ศาลฎีกาถือว่าประโยชน์จากราคาหุ้น บริษัทชินคอร์ป ส่วนที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันก่อนที่ผู้ถูกกล่าวหา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวาระแรก คือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไป เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นั้น ย่อมไม่อาจอธิบายให้รับกับข้อเท็จจริงได้ เพราะแท้จริงแล้วการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ซึ่งทำให้ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรตามที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัยนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมานับตั้งแต่วันแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ได้เกิดภายหลังในห้วงเวลาที่แตกต่างกันไป ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ในทางข้อเท็จจริงที่จะถือว่าประโยชน์จากราคาหุ้นในส่วนที่เพิ่มขึ้นของบริษัทชินคอร์ปได้เกิดขึ้นแล้วนับตั้งแต่วันแรกของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สำคัญไม่น้อยกว่านั้น ต้องยอมรับว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นของบริษัทชินคอร์ป สามารถเกิดจากปัจจัยอื่นด้วยก็ได้ อย่างเช่น ภาวะของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

๐ เมื่อศาลฎีกาฯไม่ได้วินิจฉัยแยกแยะว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำที่เป็นการเอื้อประโยชน์แต่ละกรณีเกิดขึ้นเมื่อใด แต่วินิจฉัยว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นนั้นได้เกิดขึ้นอย่างไม่สมควรนับตั้งแต่วันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีสาเหตุเพียงประการเดียว คือเกิดจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ จนนำไปสู่การพิพากษาให้ทรัพย์สินของ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นของแผ่นดินรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,373,687,454.70 บาท ที่ศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาในลักษณะเช่นนี้ คณาจารย์ทั้งห้าไม่อาจเห็นพ้องด้วยได้

รองศาสตราจารย์.ดร.วรเจตน์ ภาครัตน์


รองศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช


อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล


อาจารย์ธีระ สุธีวรางกูร


อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

11 มีนาคม 2553
Read more ...

เปิดชื่อ2ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยสั่งยึดเรียบ7.6หมื่นล. เผย”ม.ล.ฤทธิเทพ”หนึ่งเสียงชี้”แม้ว”ไม่ทุจริต

17/3/53
“ไพโรจน์ -กำพล” 2 ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยให้ยึดทั้งหมด โดยเสียงข้างมาก 7 เสียงให้ยึด 4.6 หมื่นล้าน เผยศาลฎีกาคดีนักการเมืองพร้อมเปิดคำพิพากษา-คำวินิจฉัยส่วนตัวภายในสัปดาห์ นี้


เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แหล่งข่าวผู้พิพากษา กล่าวถึงมติองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง ที่มีคำสั่งให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ หรือ ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา บุตรชายและบุตรสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ รวม 46,373,687,454.70 บาทตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยให้ครอบครัวถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ( มหาชน) แทน ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัว ว่า

ก่อนหน้านี้มีการระบุว่าองค์คณะผู้พิพากษาลงมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เสียง ให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะมติ 8 ต่อ 1 ดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยประเด็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดในการใช้อำนาจออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจตัวเอง

“ส่วนการลงมติวินิจฉัยให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวกว่า 46,000 ล้านบาทนั้น องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากลงมติ 7 ต่อ 2 เสียง อย่างไรก็ตาม สำหรับคำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาองค์คณะแต่ละคน และคำพิพากษากลางที่ลงมติให้ยึดทรัพย์นั้น จะนำไปติดเผยแพร่ที่ศาลฎีกาได้ภายในสัปดาห์นี้” แหล่งข่าวกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมติองค์คณะ 8 ต่อ 1 เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ออกนโยบาย 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ทำให้รัฐเสียหาย จากกรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต การแก้ไขสัญญาอัตราจัดเก็บภาษีมือถือระบบเติมเงินหรือพรีเพด ให้กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือ เอไอเอส การแก้ไขสัญญาเชื่อมต่อสัญญาณ หรือโรมมิ่งให้กับบริษัทเอไอเอส การยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ขึ้นไปเป็นดาวเทียมสำรองให้กับดาวเทียมไทยคม 3 และการปล่อยกู้รัฐบาลสหภาพพม่า 4 ,000 ล้านบาทของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า หรือเอ็กซิมแบงค์นั้น เสียงผู้พิพากษา 8 คน เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดทั้ง 5 มาตรการ ส่วน 1 เสียงนั้นคือ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนประเด็นที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการยึดทรัพย์นั้น ปรากฏว่าผู้พิพากษาองค์คณะทั้ง 9 คน มีมติเอกฉันท์ว่าต้องให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน โดยประเด็นที่ต้องวินิจนฉัยว่าให้ทรัพย์สินตกเป็นของจำนวนเท่าใดนั้น ผู้พิพากษาองค์คณะมีมติเสียงมาก 7 ต่อ 2 ว่าให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน กว่า 46,000 ล้านบาท ส่วนผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 2 เสียงคือ

นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา และ

นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา

เห็นว่าควรให้ทรัพย์สินตามคำร้องทั้งหมด 76,000 ล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดิน

อย่างไรก็ดีแม้ว่า


ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล

จะลงมติว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา แต่สุดท้ายองค์คณะลงมติครบทั้ง 9 เสียงในประเด็นการยึดทรัพย์โดยปรากฏว่า

ม.ล.ฤทธิเทพ มีมติให้ยึดทรัพย์ด้วยนั้น เนื่องจากตามกฎหมายการลงมติของผู้พิพากษาองค์คณะ ต้องออกเสียงตัดสินทุกประเด็น ไม่สามารถงดออกเสียงประเด็นใดประเด็นหนึ่งได้ จึงปรากฏว่า ม.ล.ฤทธิเทพ ลงมติเป็น 1 ใน 7 เสียงข้างมากให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จำนวน 46,000 ล้านบาทเศษดังกล่าว

ที่มา มติชนออนไลน์

1 มีนาคม 2553
Read more ...

'กำพล ภู่สุดสว่าง' ให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด 7.66หมื่นล้าน

17/3/53
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วันที่ 16 มีนาคม 2553 10:51

คำพิพากษาส่วนบุคคลของนายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ยึดทรัพย์ทักษิณ-พจมานทั้งหมด


รายละเอียดคำพิพากษาส่วนบุคคลของนายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิฉัยให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ทั้งหมด 76,621.6 ล้านบาท พร้อมดอกผลให้ตกเป็นของแผ่นดิน

รายละเอียดคำพิพากษามีความยาว 101 หน้า ตามไฟล์ข้างล่างนี้
Read more ...

น้ำยาวิชานิติศาสตร์ไทย

16/2/53
การศึกษากฎหมายไทย ไม่ให้ความสนใจต่อการศึกษาค้นคว้าถึงแนวความคิดทฤษฎี ที่จะช่วยให้เกิดพลังใน การวิ พากษ์วิจารณ์หรือเกิดการตั้งคำถามใหม่ๆ ในทางวิชาการ ทำให้ไม่เกิดความเคลื่อนไหวหรือการโต้แย้งในประเด็นต่างๆ เช่น ความคิดแบบอิตถีศาสตร์ทางกฎหมาย (Feminist Legal Theory) มีส่วนอย่างมากต่อการวิเคราะห์ถึงความไม่เสมอภาคทางเพศในกฎหมาย อันเป็นผลให้นำไปสู่การสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น แนวความคิดแบบสัจนิยมทางกฎหมาย ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อการตัดสินของผู้บังคับใช้กฎหมายว่าดำเนินไปโดยมีอคติใดแอบแฝงอยู่หรือไม่ แต่สำหรับวิชานิติศาสตร์ไทย แนวความคิดต่างๆ เหล่านี้ปราศจากความหมาย เนื่องจากไม่ได้ช่วยให้ผู้เรียนกลายเป็น "นักกฎหมายที่เก่ง" ขึ้นมา อีกทั้งกลายเป็นวิชาไม่มีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพเลย
น้ำยาวิชานิติศาสตร์ไทย
สมชาย ปรีชาศิลปกุล สาขาวิชานิติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

1. ความเฟื่องฟูในความตกต่ำ
สุรพล นิติไกรพจน์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงความนิยมของการศึกษาทางด้านกฎหมายว่ากำลังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

"จากการรับสมัครนักศึกษาของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แบบรับตรงเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้สมัครรวมถึง 2,367 คน จากจำนวนรับเพียง 125 คน นอกจากนี้นักศึกษาที่สอบเอ็นทรานซ์เข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เป็นคนสุดท้าย มีคะแนนที่สามารถเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้สบายๆ

แสดงว่าในปัจจุบันมีความต้องการเรียนกฎหมายเพิ่มขึ้น เพราะปัจจัยเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้พิพากษาและอัยการสูงขึ้น ทำให้เกิดกระแสความต้องการรวมถึงบทบาทของนักกฎหมายที่เกิดขึ้นในโอกาสต่างๆ ทำให้สังคมเห็นความจำเป็น ขนาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังตั้งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายด้วย" (มติชนรายวัน 17 ตุลาคม 2545)

ภาพประกอบบทความดัดแปลง ผลงานจิตรกรรมของ Lucian Freud ชื่อภาพ Girl with a white dog 1951 ภาพประกอบหลัง ผลงานภาพถ่ายของ George Steinmetz จากหนังสือ National Geographic : July 2001หน้า 110-111 หากประสบปัญหา ภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาด font ลงมา จะแก้ปัญหาได้

Rrelate

ในการเรียนการสอนทุกศาสตร์ทุกสาขาวิชาชีพในปัจจุบันนี้ จะเน้นเทคนิคเป็นตัวตั้งไม่สนเรื่องคน ส่วนนิติศาสตร์ก็ดำทะมึนไม่เห็นทางออก : ศ.นพ.ประเวศ วะสี 

ความเฟื่องฟูของการศึกษาวิชานิติศาสตร์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงของมหาวิทยาลัยรัฐที่เป็นสถาบันเก่าแก่อย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เท่านั้น มีการขยายตัวของการศึกษาเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้มีอย่างชัดเจน หากพิจารณาถึงการเปิดสอนหลักสูตรนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเอกชน จากเดิมที่มีสถาบันเอกชนเปิดสอนระดับปริญญาตรีทางด้านนิติศาสตร์เพียง 5 แห่งเมื่อ พ.ศ. 2529 กลับเพิ่มจำนวนเป็นไม่น้อยกว่า 25 แห่งในปัจจุบัน

รวมถึงการขยายตัวของการศึกษาที่สูงขึ้นทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยที่ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยของรัฐ 2 แห่งเปิดสอนหลักสูตรในระดับปริญญาเอก

แต่ความเฟื่องฟูของการศึกษาวิชานิติศาสตร์นี้ เป็นเครื่องหมายถึงความก้าวหน้าในทางวิชาการนิติศาสตร์ด้วยหรือไม่?

ดูเหมือนว่าไม่มีคำตอบหรือการพิเคราะห์ที่ชัดเจนจากแวดวงวิชาการนิติศาสตร์ สุรพลซึ่งตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ หากเพียงแต่สรุปสถานการณ์ของการเรียนนิติศาสตร์ที่ดูเหมือนน่าภาคภูมิใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะ "ที่ผ่านมาเด็กนิติฯ มักจะขอโอนย้ายไปเรียนสาขาอื่น แต่เวลานี้เด็กสาขาอื่นกลับโอนมาเรียนนิติกันแล้ว"

แต่สำหรับสายตาของบุคคลที่อยู่นอกแวดวง หรือมิได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายโดยตรง ความเฟื่องฟูนี้ไม่ได้มีความหมายถึงความก้าวหน้าในวิชาการความรู้นิติศาสตร์แต่อย่างใด นพ. ประเวศ วะสี ซึ่งได้เคยแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ระบบกฎหมายของไทยมาหลายครั้งถึงสภาพปัญหา(ที่วงการนิติศาสตร์ไทยเองไม่ค่อยได้ตระหนักถึง) ของการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมายในสังคมไทยบ่อยครั้ง ได้ย้ำถึงทรรศนะของตนที่มีต่อวงการนิติศาสตร์อีกครั้งเมื่อ 31 ตุลาคม 2545 ที่ผ่านมาว่า...

"ในการเรียนการสอนทุกศาสตร์ทุกสาขาวิชาชีพในปัจจุบันนี้ จะเน้นเทคนิคเป็นตัวตั้งไม่สนเรื่องคน ส่วนนิติศาสตร์ก็ดำทะมึนไม่เห็นทางออก จนทำให้เกิดความรุนแรงอย่างชาวบ้านที่จังหวัดอ่างทองถูกตำรวจจับกุม เพราะส่งกระจายเสียงวิทยุชุมชนของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกกฎหมาย ตนพูดเสมอว่าอย่าเอานิติศาสตร์เป็นตัวตั้งให้เอาธรรมศาสตร์หรือธรรมะเป็นตัวตั้ง จึงจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมาย ตนพูดกับนักกฎหมายมา 7-8 ปีแต่ทำไม่ได้ นักกฎหมายบอกว่าเป็นความอ่อนแอทางวิชาการ กฎหมายสอนแต่ให้เป็นทนายความเป็นผู้พิพากษา" (มติชนรายวัน 1 พฤศจิกายน 2545)

คำวิจารณ์ต่อระบบกฎหมายของไทย เป็นส่วนหนึ่งในการบรรยายเรื่องปรัชญาสหวิทยาการ (เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ศ.ดร. อภิชัย พันธเสน) โดยที่ได้หยิบยกเอาการศึกษากฎหมายขึ้นมาเป็นประเด็นย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ในทรรศนะของผู้พูดต้องเป็นปัญหาที่มีความสำคัญไม่น้อยทีเดียว

แม้ว่าโดยวิชาชีพที่ไม่ใช่นักกฎหมายแต่นับว่า นพ. ประเวศ สะท้อนกล่าวได้ตรงประเด็นถึงปัญหาของระบบการศึกษากฎหมายไทยว่า เป็นผลของการที่สถาบันการศึกษากฎหมายของไทยให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาเพื่อไปประกอบอาชีพเช่นผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ เป็นหลัก

Lord Denning นักกฎหมายชาวอังกฤษได้แสดงความเห็นว่าบทบาทหรือภารกิจของสถาบันการศึกษากฎหมายที่สำคัญมีอยู่ 3 ด้านด้วยกัน คือ

ประการแรก การให้การศึกษากฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน หรือ positive law อันเป็นการศึกษาว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นมีเนื้อหา การตีความ การบังคับใช้อย่างไร ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและใช้กฎหมายได้

ประการที่สอง ศึกษากฎหมายในด้านของพัฒนาการ เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของหลักกฎหมายและเหตุผลที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย และ

ประการที่สาม เป็นการศึกษานิติศาสตร์ในทางคุณค่าเพื่อชี้ให้เห็นผลดีผลเสียจากการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการแสวงหาทางออกในกรณีที่กฎหมายนั้นไม่สอดคล้องหรือก่อให้เกิดปัญหากับสังคม

นี่คือภารกิจพื้นฐาน 3 ประการของการจัดการศึกษาวิชานิติศาสตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง แต่สำหรับในประเทศไทยดูเหมือนว่าจะมีเพียงภารกิจประการแรกเท่านั้น ที่ได้รับความใส่ใจ ส่วนภารกิจในด้านอื่นๆ ที่เหลือกลับยังแทบไม่ปรากฏให้เห็นแต่อย่างใด

มีเหตุผลอะไรที่ทำให้การศึกษานิติศาสตร์ในประเทศไทย จึงมองข้ามบทบาทด้านอื่นๆ ไปแทบจะสิ้นเชิง?

2. วิชาชีพครอบงำวิชาการ

ระบบการศึกษาวิชานิติศาสตร์ของไทยในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2492 การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นมีการยกเลิกหลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิต ซึ่งตามวัตถุประสงค์เดิมเป็นการจัดการศึกษา เพื่อเผยแพร่แนวความคิดและหลักวิชาใหม่ๆในระบอบประชาธิปไตย แก่คนในสังคมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง กลายมาเป็นระบบการศึกษาที่มีการแยกออกเป็นสาขาวิชาต่างๆ อย่างชัดเจน คือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และพาณิชยศาสตร์และการบัญชี

เฉพาะในส่วนของนิติศาสตร์ มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรที่เป็นไปเพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพทางด้านกฎหมายมากขึ้น เช่น กฎหมายอาญาที่เดิมเคยจัดไว้เพียงภาคการศึกษาเดียวก็ขยายออกเป็น 3 ภาคการศึกษา สอนเนื้อหากฎหมายที่เป็นอาชีพเฉพาะทาง เช่น พ.ร.บ. ข้าราชการตุลาการ อัยการ ทนายความ เป็นต้น และมีการตัดเนื้อหาวิชา ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจกับสังคมออกไป เช่น วิชาลัทธิเศรษฐกิจ

หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาให้ชัดเจนที่สุดก็คือ หลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิตหลังการแยกเป็นคณะคือการเปลี่ยนทิศทางการศึกษากฎหมายบนฐานของสหวิทยาการ มาสู่ความเป็นช่างเทคนิคทางกฎหมายมากขึ้น

นอกจากการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษานิติศาสตร์แล้ว ใน พ.ศ. 2491 ได้มีการจัดตั้งเนติบัณฑิตยสภาขึ้น อันเป็นหน่วยงานที่จะมีบทบาทต่อการกำหนดแนวทางการศึกษากฎหมายอย่างมากต่อมาในภายหลัง

ในเบื้องต้นวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งเนติฯ ก็เพื่อเป็นการฝึกอบรมให้แก่ผู้ที่มีอาชีพทางด้านกฎหมายในอันที่จะใช้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ แนวทางการศึกษาของเนติฯ จึงเน้นหนักในแง่ของตัวบทกฎหมาย การตีความและการบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก เพื่อให้สามารถใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

เพราะฉะนั้น หากเปรียบเทียบระหว่างสถาบันการศึกษาเช่นเนติฯ กับการศึกษาวิชานิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย อาจกล่าวได้ว่าขณะที่มหาวิทยาลัยมีหน้าที่ในการจัดการศึกษาทั้งในแง่ของกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ พัฒนาการความเป็นมาและการประเมินถึงผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไข ส่วนเนติฯ จะจัดการศึกษาเพิ่มเติมเฉพาะในส่วนของผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพที่ใช้ความรู้ทางด้านกฎหมายโดยตรง ให้สามารถใช้กฎหมายที่มีผลบังคับอยู่ได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น

แต่เส้นแบ่งระหว่างสถาบันการศึกษาทั้งสองปรากฏขึ้นในความเป็นจริงหรือไม่?

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เคยกล่าวถึงข้อขัดแย้งของระบบการศึกษากฎหมายไทย โดยเฉพาะบทบาทของเนติฯ ไว้อย่างตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่ง ในการสัมมนาเรื่องพัฒนาการทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์กับสังคมไทย เมื่อ พ.ศ. 2529 ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนี้

"ปัญหาของการศึกษานิติศาสตร์ในประเทศไทยในเวลานี้ก็คือว่า ทุกมหาวิทยาลัยหวังแต่ผลิตบัณฑิตของตัวให้หางานทำได้มากที่สุด ตลาดใหญ่ที่สุดและ traditional มากที่สุดคือตลาดอัยการ, ผู้พิพากษา, ทนาย สามวิชาชีพนี้มีอะไรคุมครับ เนติบัณฑิตยสภา สำนักฝึกอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เพราะฉะนั้นหลักสูตรของมหาวิทยาลัยทั้งหลายทั้งที่เป็นรัฐและของเอกชน จึงเลียนแบบหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ร้ายไปกว่านั้นเอาอาจารย์ชุดเดียวกันมาสอนครับทั้งที่เนติฯ, จุฬา, ธรรมศาสตร์

เคยมีผู้พยายามที่จะแหวกวงว่ายออกจากวัฏจักรนี้ที่อาจารย์มาลี (พฤกพงษศาวลี) ว่าก็คืออาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ แต่เป็นที่น่าเสียดายนะครับท่านก็ถูกโจมตีว่าจะไปสอบเนติฯ สู้เขาได้อย่างไร

ผลก็คือว่าวิชาชีพมันครอบงำวิชาการ ซึ่งมีผลในการพัฒนาการศึกษากฎหมายเพราะว่า นักวิชาชีพคือท่านผู้พิพากษา ท่านอัยการ ท่านทนายความเหล่านี้ ได้เข้ามากำหนดบทบาทของการศึกษานิติศาสตร์นั้น ท่านเข้าไปทั่วทุกหัวระแหง แห่งแรกที่ท่านยึดหัวหาดคือเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เป็นเพราะมหาวิทยาลัยเองระบบอาจารย์ประจำยังไม่แข็ง ซึ่งในเวลานี้สภาพดีขึ้นมากแล้ว(เฉพาะในมหาวิทยาลัยของรัฐเท่านั้น-ผู้เขียน)

แห่งที่สองที่ท่านเข้าไปยึดหัวหาดก็คือท่านเข้าไปในกรรมการต่างๆ ของรัฐที่คุมการศึกษานิติศาสตร์ ท่านเข้าไปในทบวงมหาวิทยาลัยอยู่ในคณะกรรมข้าราชการพลเรือนเลยทีเดียว ท่านเข้าไปคุมการศึกษานิติศาสตร์ภาคเอกชน ท่านเข้าคุมสภาวิจัยแห่งชาติ 40 กรรมการสาขานิติศาสตร์ของสภาวิจัยกว่าครึ่งมาจากวิชาชีพดั้งเดิม ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ หลายท่านเป็นครูบาอาจารย์ของผม

และเป็นที่น่าแปลกมหัศจรรย์ว่าหลายท่านนั้น ตำราสักเล่มหนึ่งท่านก็ไม่เคยเขียนแต่เป็นกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติทางด้านนิติศาสตร์ เพราะฉะนั้นผลผลิตออกมาคุณสมบัติเดียวกันหมด จบธรรมศาสตร์ จบจุฬาฯ จบรามคำแหง จบ มสธ. จบศรีปทุม อะไรก็แล้วแต่คุณภาพเหมือนกันหมด"(รายงานการสัมมนาทางวิชาการ, 2529 น. 215-216)

3. มหาวิทยาลัยในฐานะอาณานิคม

จำเป็นต้องกล่าวในเบื้องต้นไว้ก่อนว่า การศึกษากฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในแต่ละช่วงเวลา เป็นความจำเป็นพื้นฐานของการศึกษากฎหมายเพื่อให้สามารถรู้และใช้กฎหมายเป็น การศึกษากฎหมายที่เน้นถึงตัวบทอันเป็นลายลักษณ์อักษร และการตีความ เมื่อเกิดข้อพิพาทในทางกฎหมายก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่ปรากฏอยู่ที่สำนักฝึกอบรมกฎหมายแห่งเนติฯ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง

แต่ปัญหาของการศึกษาวิชานิติศาสตร์ไทยก็เป็นไปดังที่บวรศักดิ์ได้แสดงความเห็นไว้ว่า เป็นภาวะที่ "วิชาชีพครอบงำวิชาการ" อันทำให้เกิดสภาพความยุ่งยากในระบบการศึกษากฎหมายดังที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน คือ

ประการแรก หลักสูตรวิชานิติศาสตร์บัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ ล้วนแต่มีสภาพเป็นเพียงโรงเรียนเตรียมเนติฯ แทบทั้งสิ้น

การครอบงำของเนติฯ ทำให้หลักสูตรการศึกษานิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ไม่มีความแตกต่างไปจากเนื้อหาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรเนติฯ เนื้อหาของวิชาที่ศึกษาในระดับปริญญาตรีประมาณ 80-90เปอร์เซ็นต์ของทุกสถาบันการศึกษาล้วน แต่มุ่งเพื่อให้ไปสู่การเรียนในชั้นเนติฯ ได้

สภาพเช่นนี้คณะนิติศาสตร์หรือสาขาวิชานิติศาสตร์ที่ผลิตบัณฑิตจึงมีสถานะเป็นเพียงโรงเรียนเตรียมเนติฯ แม้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยบางแห่งพยายามที่จะแหวกให้พ้นไปจากวังวนดังกล่าว แต่ก็ยังไม่สามารถกระทำได้อย่างเต็มที่

ประการที่สอง การศึกษาที่เน้นการท่องจำกลายเป็นกระแสหลักของระบบการเรียนการสอนนิติศาสตร์ไทย

ด้วยเหตุที่หลักสูตรของนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเนติฯ จึงมีผลให้การเรียนวิชานิติศาสตร์ไม่ต่างไปจากการเรียนในชั้นเนติฯ ซึ่งเน้นการท่องจำตัวบทและแนวคำวินิจฉัยของศาลในคดีต่างๆ ว่ามีแนวคำพิพากษาอย่างไร โดยไม่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการทำความเข้าใจถึงหลักกฎหมาย เจตนารมย์ ซึ่งมีความสำคัญต่อการศึกษากฎหมายเช่นกัน

วิระดา สมสวัสดิ์ ในฐานะผู้สอนกฎหมายคนหนึ่งได้สะท้อนลักษณะของการศึกษาแบบนี้ไว้ว่า
"วิชาเหล่านั้นความจริงแล้วในตัวของมันเองและผู้สอน น่าจะสร้างความคิดวิเคราะห์ให้แก่นักศึกษาต่างๆได้ว่า วิชาหรือตัวบทกฎหมายที่มันมีอยู่เป็นอย่างไร หรือมันเป็นความเป็นธรรมหรือไม่ นิติศาสตร์ทางคุณค่าไม่เป็นที่รู้จัก มันมีเหตุผลเบื้องหลังของบทบัญญัตินั้นอย่างไรใครเป็นผู้ได้ประโยชน์เสียประโยชน์ ก็น่าเสียใจไม่มีการพูดถึงเลย ก็เอาแต่ว่าจดจำกันกันอย่างไรและวงการนิติศาสตร์จะเป็นที่ปลาบปลื้มกันอย่างมากว่า ใครจำได้เก่งและคนที่จำได้เก่งมากจะเป็นผู้มีความสามารถอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราพูดกับวงการอื่นแล้วเขาหัวเราะเยาะเอาอย่างมากเลยว่า นิติศาสตร์นั้นไม่ได้มีความกว้างขวาง ไม่ได้มีความรับรู้สภาพของสังคมภายนอก" (รายงานสัมมนาทางวิชาการ, น. 220)

แม้จะเป็นคำวิจารณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2529 ในงานสัมมนาคราวเดียวกันกับที่บวรศักดิ์ได้วิจารณ์ถึงการครอบงำของวิชาชีพต่อวิชาการทางกฎหมาย แต่ผ่านมาจนบัดนี้ก็ยังไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงบังเกิดขึ้นมากนัก กับแนวทางการศึกษาวิชานิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ

ประการที่สาม ความพยายามในการสลัดหลุดจากการครอบงำ
สภาพปัญหาที่กล่าวมาไม่ใช่ไม่เคยเป็นที่ตระหนักถึง ในหมู่นักกฎหมายบางส่วนได้เคยมีความพยายามที่จะไปให้พ้นจากการครอบงำนี้ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีการแก้ไขหลักสูตรเมื่อ พ.ศ. 2515 ด้วยการเพิ่มลักษณะวิชาที่เป็นทฤษฎีความคิดและพัฒนาการของกฎหมาย ดังวิชานิติปรัชญา ประวัติศาสตร์กฎหมาย และลดเนื้อหาของกฎหมายที่เป็นตัวบท เช่นรวบรวมกฎหมายเอกเทศสัญญาย่อยๆ เข้ามาเป็นวิชาเดียวและสอนหลักที่สำคัญเท่านั้น

ถึงจะมีความเปลี่ยนแปลงในการปรับหลักสูตรนิติศาสตร์เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง คงเกิดขึ้นเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่มีความเข้มแข็งทางวิชาการเท่านั้น ยิ่งสำหรับมหาวิทยาลัยเอกชน ที่พากันแห่เปิดหลักสูตรนิติศาสตร์ในขณะนี้สามารถกล่าวได้ว่าทั้งหมดคือ โรงเรียนเตรียมเนติฯ เท่านั้น

นอกจากนี้ วาทกรรมกระแสหลักในแวดวงทางกฎหมายที่ยังคงเชื่อว่า ผู้ที่มีความสามารถทางด้านกฎหมายนั้น คือผู้ที่สอบผ่านเนติฯ ก็มีผลกดดันต่อการจัดทำหลักสูตรอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่ที่ธรรมศาสตร์. ปรีชา สุวรรณทัต ก็ได้กล่าวถึงความคาดหวังที่มีต่อตนเองในคราวเข้ารับตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์ว่า

"ผู้หลักผู้ใหญ่ของผมอาจารย์ที่ผมนับถือ แนะนำผมเป็นสิ่งแรกเลยบอกอาจารย์ปรีชา ทำอย่างไรจะให้นิติศาสตร์ของเราได้ที่ 1 เนติฯ ผมก้าวขาไม่ออกเลย เพราะฉะนั้นในปัจจุบันความคิดของท่านอาจารย์ในระดับนั้น ที่เรานับถือยังมองดูว่านิติศาสตร์ที่ไหนจะเก่งไม่เก่งวัดกันที่ตัวเนติฯ ที่ 1 หรือสอบได้มากสอบได้น้อย ปีไหนรามคำแหงได้ที่ 1 ชี้หน้าจุฬาฯ ชี้หน้าผม ทำไมรามฯ เขาได้ที่ 1 เขาวัดกันที่ตัวนี้ครับ"

4. ความอับจนของการศึกษากฎหมายไทย

ลักษณะของการศึกษากฎหมายไทยภายใต้บริบทที่กล่าวมามีผลกระทบต่อวงวิชาการนิติศาสตร์ไทยในประการสำคัญๆ ดังต่อไปนี้

หนึ่ง การตีความและการบังคับใช้กฎหมายแบบนิติอักษรศาสตร์ ในการใช้กฎหมายของนักกฎหมายส่วนใหญ่ มักเป็นไปด้วยการยึดตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ โดยไม่สนใจต่อการนำเอาเจตนารมย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการวินิจฉัย และก็ไม่คำนึงว่าการบังคับใช้กฎหมายนั้น จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมหรือไม่ หากยึดแต่เพียง "ความถูกต้องตามกฎหมาย" เท่านั้น

ที่เป็นปัญหารุนแรงกว่านั้นก็คือ การตีความโดยยึดกฎหมายที่ให้อำนาจแก่หน่วยงานของรัฐเป็นหลัก หรือตีความที่เป็นการลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน แม้จะมีกฎหมายที่ใหญ่กว่าให้อำนาจไว้ก็มิได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใด การลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย พ.ร.บ. หรือระเบียบของหน่วยงานรัฐในหลายเรื่องเป็นตัวอย่างของการตีความทำนองนี้

สอง ไม่ให้ความสนใจต่อการศึกษาค้นคว้าถึงแนวความคิดทฤษฎี ที่จะช่วยให้เกิดพลังในการวิพากษ์วิจารณ์หรือเกิดการตั้งคำถามใหม่ๆ ในทางวิชาการ ทำให้ไม่เกิดความเคลื่อนไหวหรือการโต้แย้งในประเด็นต่างๆ เช่น ความคิดแบบอิตถีศาสตร์ทางกฎหมาย (Feminist Legal Theory) มีส่วนอย่างมากต่อการวิเคราะห์ถึงความไม่เสมอภาคทางเพศในกฎหมาย อันเป็นผลให้นำไปสู่การสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น แนวความคิดแบบสัจนิยมทางกฎหมาย ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อการตัดสินของผู้บังคับใช้กฎหมายว่าดำเนินไปโดยมีอคติใดแอบแฝงอยู่หรือไม่

แต่สำหรับวิชานิติศาสตร์ไทย แนวความคิดต่างๆ เหล่านี้ปราศจากความหมาย เนื่องจากไม่ได้ช่วยให้ผู้เรียนกลายเป็น "นักกฎหมายที่เก่ง" ขึ้นมา อีกทั้งกลายเป็นวิชาไม่มีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพเลย

สาม ผลสืบเนื่องจากเหตุทั้งสองประการที่กล่าวมา ทำให้นิติศาสตร์ไทยไร้พลังในการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุที่การศึกษากฎหมายเพื่อมุ่งไปสู่การประกอบอาชีพนั้น มีธรรมชาติของการศึกษาในทิศทางที่ต้องจดจำและยึดเอาแนวทางคำอธิบาย การตัดสิน ที่ได้รับการยอมรับไว้เป็นสรณะในการวินิจฉัยข้อขัดแย้งต่างๆ

ลักษณะของการศึกษาเช่นนี้จึงเป็นการตอกย้ำ และรักษาสถานะของชุดความรู้ที่มีอยู่ให้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างชอบธรรม

เมื่อเผชิญกับสภาพปัญหาหรือการแก้ไขความขัดแย้งที่พ้นไปจากกรอบความรู้ที่เคยมี ทำให้นักกฎหมายไม่อาจให้คำตอบหรือปฏิเสธต่อความรู้ชุดใหม่นี้ ดังการเกิดขึ้นของแนวความคิดเรื่องสิทธิชุมชนในสังคมไทย นักกฎหมายที่แม้จะจัดเป็นหัวก้าวหน้าจำนวนมาก ก็ไม่อาจรับแนวความคิดนี้ได้ เพราะรากฐานแนวความคิดเรื่องสิทธิในกฎหมายมีเพียง สิทธิของรัฐ และปัจเจกชนเท่านั้น

ที่กล่าวมาเป็นเพียงความอ่อนแอเสี้ยวหนึ่งที่สืบเนื่องมาในวงวิชาการนิติศาสตร์ไทย และเมื่อได้เกิดความเฟื่องฟูในการศึกษานิติศาสตร์อันเป็นผลมาจากเงินที่ให้แก่ตำแหน่งผู้พิพากษาหรืออัยการ แรงผลักดันเช่นนี้มีแต่จะทำให้การศึกษากฎหมายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องถลำเข้าไปเป็นอาณานิคมของการศึกษาที่เน้นอาชีพมากยิ่งขึ้น 


และความตกต่ำในทางวิชาการของนิติศาสตร์ไทยก็คงยังจะดำเนินต่อไปอีกตราบนานเท่านาน
Read more ...

สรุปปรัชญาการเมืองตะวันตกสมัยใหม่ / ทศพร

3/1/53
ยุคกลางสิ้นสุดลง พร้อมกับ renaissance, reformation การค้นพบโลกใหม่ ทำให้คนยุโรปเห็นโลกกว้างขึ้น และยุโรปก็ขยายตัวไปยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะด้านการค้า และการเกิดของสถาบันกษัตริย์ที่มุ่งอำนาจอย่างเด็ดขาด

หลังยุคศักดินาในยุโรปตะวันตก สามสถาบันกษัตริย์ที่เข้มแข็ง คือในอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน ส่วนในเยอรมันยังเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยจำนวนมาก แต่ในอิตาลีเป็นนครรัฐที่มีความรุ่งเรือง โดยเฉพาะในทางเหนือ กษัตริย์ล้วนพยายามสร้างความเข็มแข็งด้วยการดึงอำนาจเข้าส่วนกลาง และกำจัดอำนาจของขุนนางหัวเมืองที่แข็งข้อ

การที่มนุษย์มีท่าทีอย่างใหม่ ต่อศาสนา ต่อตนเอง ต่อสังคมและโลกที่แวดล้อมตนเอง รวมทั้งต่อรัฐ ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ บวกกับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องอื่นๆ ทำให้เกิดเป็นยุคใหม่ที่เรียกว่า Renaissance หรือที่แปลได้ว่า "การเกิดใหม่" เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความคิดทางการเมืองในรูปแบบใหม่ ที่แตกต่างๆไปจากความคิดในยุคกลางเป็นอย่างยิ่ง

Machiavelli ชาวอิตาลี ในสภาพแวดล้อมที่แต่ละนครรัฐกำลังแข่งขันชิงดีกันในเรื่องอำนาจ แต่งหนังสือเรื่อง "เจ้า" ซึ่งมีเนื้อหาว่า ทำอย่างไรจึงจะได้มาซึ่งอำนาจ และจะรักษาอำนาจนั้นไว้ได้อย่างไร "เจ้า"จะต้องแกล้งแสดงตัวว่าเป็นคนดี ให้ความเอื้อเฟื้อ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินและภรรยาของลูกน้อง แต่ต้องพร้อมโจมตี ต้องคบพันธมิตรที่อ่อนแอกว่า ต้องให้คนกลัว ไม่ต้องรักก็ได้ พร้อมกับยกตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ให้เห็นเป็นหลักฐาน การที่จะเป็น"เจ้า"ที่เข้มแข็งได้ ต้องไม่คำนึงถึงศีลธรรมทางศาสนามากนัก รัฐที่จะเข็มแข็งต้องพร้อมทำสงครามเพื่อขยายตัว ไม่เช่นนั้นก็ต้องพร้อมเสื่อมสลายได้เลย ความเติบโตเป็นกฏของชีวิตทางการเมือง ซึ่งจะมามัวรักษาและแสวงหาอุดมคติไม่ได้

Machiavelli ไม่ได้สนใจที่จะหาเหตุผลและความชอบธรรมให้แก่การกระทำ แต่ต้องการความสำเร็จในการกระทำ "เจ้า"ต้องพร้อมใช้ศาสนาและศีลธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง และ"เจ้า"ต้องให้ความสนใจแก่พลเมือง ผู้มีความประสงค์จะได้รับความปลอดภัยและการคุ้มครอง เพราะนั่นคือพันธมิตรโดยธรรมชาติที่สำคัญของ"เจ้า" ไม่ใช่เหล่าขุนนาง

การปฎิรูปศาสนาโดย Luther, Calvin ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมาก สงคราม ๓๐ ปี เป็นปัจจัยประการหนึ่ง (๑๖๑๘-๑๖๔๘) การกดขี่บุคคลต่างศาสนา ฯลฯ ล้วนทำให้สถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจ-สังคมเปลี่ยนแปลงไป ค.ศ. ๑๖๔๘ มีการทำสนธิสัญญา Wesphalia ซึ่งในทางรัฐศาสตร์ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิด "รัฐชาติ" ในยุคใหม่นี้

อังกฤษ ค.ศ. ๑๖๔๒ - ๑๖๔๙ เป็นช่วงเวลาของสงครามกลางเมือง และจบลงด้วยการปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดิน สองปีหลังจากนั้น Hobbes แต่งหนังสือ "Liviathan" ซึ่งพูดถึงสภาวะธรรมชาติ สิทธิ์ตามธรรมชาติ และ การทำสัญญาสังคม

Hobbes มองเห็นว่าสถานการณ์ที่เพิ่งผ่านไปนั้น เป็นเหตุการณ์ร้ายแรง เกิดขึ้นเพราะสถาบันศาสนามีบทบาทโดยไม่มีข้อจำกัด ต้องให้สถาบันศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเมือง และให้องค์อธิปัตย์หรือกษัตริย์เป็นผู้มีสิทธิ์ตีความของศาสนาได้ แต่ต้องไม่ใช้พวกคลั่งศาสนา

ความคิดทางการเมืองของเขาคือ ในสภาวะธรรมชาติ ซึ่งไม่มีองค์อธิปัตย์จะมีแต่สงครามที่ทุกฝ่ายจะรบกันเอง ทุกคนมุ่งจะมีอำนาจเหนือคนอื่น และเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของตน ทุกหนแห่งมีแต่ความกลัว และยิ่งน่ากลัวคือทุกคนเท่าเทียมกัน ในอันที่จะต้องตายด้วยกันได้ทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิ์นี้กันโดยธรรมชาติ แต่แล้วกฏธรรมชาติข้อแรก ก็ทำให้ทุกคนมีความคิดอันมีเหตุผลเกิดขึ้นมา ให้คิดหาสันติภาพ ซึ่งจะทำให้ทุกคนปลอดภัยได้ และก็ทำได้ด้วยการตกลงระหว่างกันว่า จะยกสิทธิ์ตามธรรมชาตินี้ (ยกเว้นสิทธิในชีวิตของตน) ให้แก่องค์อธิปัตย์ และการที่ทุกคนรักษาสัญญานี้ก็เป็นกฏธรรมชาติอีกข้อหนึ่ง แต่ข้อตกลงโดยไม่มีดาบบังคับก็เหมือนลมพัด ทุกคนจึงยอมให้องค์อธิปัตย์นั้นใช้กำลังบังคับได้อย่างเต็มที่ การยอมเช่นนี้ไม่ใช่ข้อบังคับโดยกฏหมาย แต่เป็นความมีเหตุผลต่างหาก (คู่สัญญาในสัญญาของHobbesนี้เป็นศัตรูกันมาก่อน)

องค์อธิปัตย์ของ Hobbes เป็นผู้ออกกฏหมาย (ยกเว้นที่เป็นกฏหรือสิทธิ์โดยธรรมชาติ) มีอำนาจเด็ดขาดในทุกเรื่อง (ยกเว้นเช่นสั่งให้พลเมืองฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นการขัดกับวัตถุประสงค์ของสัญญา หรือพลเมืองมีสิทธิ์ขัดขืนไปไม่รบในกองทัพ)

หลังจากนั้นไม่นาน ยุโรปก็กลับคืนสู่สันติภาพ รวมทั้งในอังกฤษด้วย ๑๖๖๐ อังกฤษมีกษัตริย์อีก ฝรั่งเศสทำสัญญาสันติภาพกับสเปน ๑๖๕๙ และ ๑๖๖๑ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ขึ้นครองราชย์ และโดยทั่วไป ไม่มีการกดขี่ในทางศาสนาอีกมากแล้ว ยกเว้นในฝรั่งเศสระยะหนึ่ง เมื่อมีสันติภาพ การทำมาค้าขายก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการค้าขายกับต่างประเทศ (+การแสวงหาอาณานิคม)

ศาสนาในฮอลแลนด์ ค่อนข้างมีความใจกว้าง (tolerant) กว่าที่อื่น หากแต่เพราะว่า Spinoza เกิดในครอบครัวชาวยิว เขาจึงมีปัญหาอยู่ แต่หลักปรัชญาของเขาก็คือ มีพระเจ้าอยู่ทุกแห่งหน (pantheism) ในความคิดทางการเมือง Spinoza ก็ได้รับอิทธิพลจาก Hobbes อยู่ และเขาก็พูดถึงกำเนิดรัฐบนรากฐานของข้อตกลงระหว่างสมาชิกของสังคม ที่จะโอนสิทธิ์โดยธรรมชาติของเขาให้แก่รัฐ เพื่อให้ออกกฏหมายและบังคับใช้ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน แต่สิทธิ์ที่จะมีความคิดเห็นโดยอิสระและที่จะตัดสินยังคงอยู่ที่แต่ละคน ในแง่ของรูปแบบการปกครอง Spinoza ออกจะเห็นว่า การปกครองแบบ aristocracy มีประสิทธิภาพในการรักษาอิสระของสมาชิกแต่ละคนได้ดีกว่าแบบราชาธิปไตย และได้พูดถึงโครงสร้างหน้าที่ของการปกครองทุกรูปแบบค่อนข้างละเอียด

ปรัชญาการเมืองของ สปิโนซา 

(สรุปความจาก Tractus Theologica-Politicus 1670)

กฎธรรมชาติมีความสำคัญเช่นเดียวกับอำนาจธรรมชาติ สิทธิโดยธรรมชาติของธรรมชาติทั้งหมด มีเท่าที่อำนาจธรรมชาติไปถึง

ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนโดยธรรมชาติเขาก็จะมีสิทธิทำทุกอย่างได้ เท่าที่เขาจะมีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น สิทธิของเขาถูกกำหนดโดยอำนาจของเขาเอง และโดยไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการ เครื่องมือ มนุษย์ทุกคนจะทำอะไรก็ได้ ตามที่อยู่ในอำนาจเขา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเขาเอง

การก่อตัวของรัฐ/ สังคม เกิดขึ้นบนพื้นฐานของข้อตกลงระหว่างมนุษย์ด้วยกัน สิทธิและอำนาจของเขาก็จะถูกโอนให้รัฐ/ สังคมด้วย รัฐบาลเป็นผู้ใช้สิทธิโดยส่วนรวมนี้ ในการออกกฏหมาย บีบบังคับใช้กฏหมาย ตัดสินใจเรื่องสงครามหรือสันติภาพ ฯลฯ

มนุษย์แต่ละคนก็จะมีสิทธิโดยธรรมชาติ เพียงเท่าที่สิทธิ์ส่วนรวมจะยอมให้เขามีได้ และถึงแม้เขาได้ให้สิทธิ์นั้นไปแก่รัฐแล้ว (สิทธิ์สูงสุดในการที่จะทำอะไรก็ได้) แต่เขาก็ไม่ได้ให้สิทธิ์ที่จะคิดโดยอิสระ และตัดสินใจเอง ไปด้วย ฉะนั้น เขาจึงยังด่าว่า/ ตัดสิน และประนาม รัฐบาลว่าเลว ผิดเป้าหมายได้ หากว่ารัฐบาลไม่สามารถรับรองสิทธิ์ที่จะแสดงออกได้อย่างเสรี คิดและตัดสินใจได้อย่างอิสระ

แม้จะมีรัฐแล้วก็ตาม แต่สภาวะธรรมชาติก็ไม่ไสูญสิ้นไปด้วย แต่การมีรัฐกลับจะทำให้สภาวะที่จะคิดเองได้เช่นนั้นคงอยู่ได้ต่อไป เป็นเพราะว่า รัฐให้ความปลอดภัย ให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รัฐทำให้มนุษย์พัฒนาต่อไป

ทั้งนี้สะท้อน ๒ ความคิดสำคัญของสปิโนซา เรื่อง อิสรภาพ และ ความจำเป็น กล่าวคือ มนุษย์สามารถเป็นอิสระได้ ต่อเมื่อเขามีเหตุผล ที่จะทำไปตามความจำเป็น

และเมื่อมนุษย์มีเหตุผล และเห็นความจำเป็นของการกระทำของเขา เขาก็จะเคารพเชื่อฟังกฏหมาย ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของเหตุผล และผลประโยชน์ของทุกคนในสังคม (=จำเป็น)

แต่ต้องยอมรับว่า มนุษย์มีอารมณ์/ความรู้สึกด้วยไม่มากก็น้อย แล้วก็มีพฤติกรรมตามนั้นด้วย รัฐจะคงอยู่ได้ ต้องมีพฤติกรรมจากเหตุผล และอารมณ์ด้วยกัน รัฐคงจะอ่อนแอลง ถ้าเอาการกระทำด้วยเหตุผล เป็นมาตรฐานของสมาชิกไปเสียทุกกรณี

เราต้องเชื่อฟังรัฐ เพราะมอบอำนาจให้ไปแล้ว รัฐเองก็ไม่มีทางทำอะไรผิด ถูก-ผิด ไม่ยุติธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระหว่างพลเมืองด้วยกัน (หรือผู้ที่มีหน้าที่แทนรัฐบาล??) แต่พลเมืองสามารถบอกเลิกสัญญากับรัฐได้ เมื่อทุกคนหรือส่วนมากมองเห็นว่า รัฐไม่มีประโยชน์อีกแล้วต่อตน โดยการบอกเลิกสัญญานั้น ต้องชั่งเอาระหว่างผลประโยชน์หรือผลเสียจากการมีสัญญาต่อกัน (แปลว่า การเมืองจะต้องดำเนินไปเพื่อผลประโยชน์อันมีเหตุผลของพลเมือง การเมืองต้องทำให้พลเมืองเห็นประโยชน์จากการทำตามเหตุผล-กฏระเบียบ มากกว่าผลประโยชน์ของตนอย่างตื้นๆ) (มนุษย์มักมีความหยิ่ง คิดว่า ตนเองรู้ดีกว่าใครๆ)

สปิโนซายอมรับด้วยว่า ธรรมชาติทำให้มนุษย์เป็นศัตรูกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และที่น่าวิตกสำหรับความมั่นคงของรัฐ คือศัตรูจากภายใน มากกว่าศัตรูจากภายนอก (เขายกตัวอย่างประวัติศาสตร์โรมัน)

เกี่ยวกับรูปแบบของรัฐ สปิโนซาว่ามี ๓ แบบ คือ ประชาธิปไตย (อำนาจตัดสินใจมาจากที่ประชุมที่เลือกจากประชาชนทั้งหมด) อำมาตยาธิปไตย (aristocracy) (อำนาจตัดสินใจมาจากกลุ่มบุคคลผู้ได้รับเลือกแล้ว) และ ราชาธิปไตย (อำนาจตัดสินใจมาจากบุคคลคนเดียว)

สปิโนซาอธิบายว่า ในการปกครองแบบราชาธิปไตยนั้น อาจเกินความสามารถของคนคนเดียวก็ได้ น่าต้องมีคณะที่ปรึกษาและคนไว้ใจช่วยด้วย อาจเป็นที่ประชุมของเผ่า หรือในระบบครอบครัวก็ได้ และสมาชิกในคณะนั้นน่าจะต้องอยู่ในตำแหน่งไม่เท่ากัน เพื่อจะได้มีคนที่มีประสบการณ์ร่วมประชุมอยู่ด้วยเสมอ ถ้าพระราชาฟังคณะที่ปรึกษา เอาเหตุผลในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม พระราชาพระองค์นั้นก็จะมีอำนาจมาก (เพราะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน)

ฝ่ายตุลาการต้องเป็นองค์กรอิสระ สมาชิกต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติว่า มีเหตุผลเหนืออารมณ์

สปิโนซามีความเห็นว่า การปกครองแบบอมาตยาธิปไตยดีกว่าการปกครองแบบอื่นในการรักษาอิสรภาพของพลเมือง สำหรับอาณาจักรขนาดกลาง เห็นว่า"สภาผู้ได้รับเลือกแล้ว" น่าจะมีสมาชิกประมาณ ๕ พันคน จำนวนนี้สามารถตัดสินใจแทนประชาชนได้เลย ถ้าน้อยกว่านี้ก็จะทำให้อำนาจตกอยู่กับคนกลุ่มน้อยเท่านั้น สภาฯนี้ทำหน้าที่นิติบัญญัติ

สปิโนซาเสนอให้มีอีกสภาหนึ่งทำหน้าที่ควบคุมดูแล "สภา ๕ พัน" โดยมีสมาชิกที่อยู่ในตำแหน่งตลอดชีพ และมีจำนวนไม่มาก ทำหน้าที่คล้ายเป็นศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ให้มี senate ทำหน้าที่บริหาร แต่การทำงานจริงๆในแต่ละเรื่องให้มีคณะกรรมาธิการและ "ข้าราชการ" ซึ่งเป็นมืออาชีพเป็นผู้ดำเนินงาน

การปกครองแบบอำมาตยาธิปไตยนี้เหมาะกับเมืองอิสระ (ทำนอง city state) ซึ่งมีมากในยุคนั้น นอกจากนี้ สปิโนซายังเสนอให้มีการรวมหลายๆนครรัฐเป็น "สหพันธรัฐ" ด้วย

ส่วนการปกครองแบบประชาธิปไตย ประเด็นอยู่ที่ว่า คนส่วนใหญ่มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ในทางปฏิบัติ ทาสและผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ (สปิโนซาไม่เชื่อในความเท่าเทียมกันของมนุษย์อยู่แล้ว) และสิทธิในการออกเสียงก็ยังขึ้นอยู่กับอายุ และภาษีที่จ่าย

(สรุปความจากหนังสือ Hauptwerke der politischen Theorie โดย Theo Stammen, Gisela Riescher และ Wilhelm Hofmann สำนักพิมพ์ Alfred Kroener เมือง Stuttgart พิมพ์ปี 1997)

Locke เป็นนักคิดที่ความคิดและงานเขียนของเขา "Treatises of Government" (๑๖๙๐) มีอิทธิพลต่อพัฒนาการและเหตุการณ์ทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Enlightenment ของฝรั่งเศส และการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา

ในทัศนะของ Locke มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและสามารถมีเหตุผลได้ เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติที่ไม่มีอำนาจร่วมส่วนกลางคอยดูแล ก็รู้ได้ว่าไม่ปลอดภัย แต่เหตุผลก็บอกได้ด้วยว่า ต้องยอมรับสิทธิ์โดยธรรมชาติว่า แต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิต แสวงหาทรัพย์สิน และมีอิสรภาพได้เสมอกัน และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องสิ่งเหล่านี้ โดยที่ข้อขัดแย้งและความไม่ยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้แน่ และสภาะธรรมชาติก็จะกลายเป็นสภาะสงครามได้โดยง่าย ความมีเหตุผลของมนุษย์ทำให้มนุษย์ตกลงที่จะสร้าง "ชุมชน" ขึ้น และโอนสิทธิ์โดยธรรมชาติในการปกป้องสิทธิ์ของตนนี้ให้แก่อำนาจร่วมส่วนกลาง โดยที่รูปแบบจะเป็นอย่างไรนั้นจะได้ตกลงกันในระบบเสียงข้างมากต่อไป ไม่ใช่ว่า "รัฐบาล"จะทำสัญญากับพลเมือง แต่พลเมืองมอบฉันทะให้รัฐบาลไปทำหน้าที่ปกป้องสิทธิ์อื่นๆที่ยังมีอยู่ของประชาชนต่อไป รัฐบาลมีหน้าที่อันจำกัด หากรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ หรือทำไม่ถูกต้อง ประชาชนในชุมชนจะกลับมาพิจารณาใหม่ว่า จะยังคงให้รัฐบาลทำหน้าที่ต่อไป หรือเปลี่ยนรัฐบาล ทุกอย่างดำเนินไปในระบบเสียงข้างมาก ในรูปแบบการปกครอง Locke ได้เสนอเรื่องการแบ่งแยกอำนาจไว้ด้วย และให้ความสำคัญแก่ฝ่ายนิติบัญญัติมากกว่า รัฐ ในทัศนะของ Locke เป็นนิติรัฐโดยแท้

ประเด็นที่น่าสนใจในงานของ Locke อีกประเด็นคือทัศนะของเขาต่อเรื่อง "ทรัพย์สิน" ซึ่งมีความหมายกว้างขวาง ตั้งแต่เป็นวัตถุ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ตลอดไปจนการมีอิสระในความเชื่อทางศาสนา (สำหรับ Locke เรื่องของศาสนาและความเชื่อ จัดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว) สิ่งเหล่านี้เขามองเห็นว่า เป็นหน้าที่หลักของรัฐที่จะต้องปกป้อง แม้ว่า Locke จะระบุว่า มนุษย์มีสิทธิ์โดยธรรมชาติที่จะแสวงหาทรัพย์สินมาครอบครอง แต่ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดว่า ต้องไม่มากเกินจำเป็น เกินกว่าจะบริโภคหรือใช้สอยได้ หรือไม่เกินจนกระทั่งไม่เหลือสำหรับคนอื่น แต่เมื่อทรัพย์สินแปลงสภาพเป็นเงินตราแล้ว Locke ก็ไม่ได้ขัดขวางว่า มนุษย์จะสะสมเงินตราไม่ได้ เพราะเงินตราไม่ได้เน่าเสียอย่างอาหาร และเพราะมูลค่าของเงินตราเป็นสิ่งที่ได้มีการตกลงกัน

ยุโรปในคริสตศตวรรษที่ ๑๘ อยู่ในยุคที่เรียกว่า Enlightenment (ยุคที่มนุษย์บรรลุถึงจุดสูงสุดทางปรัชญา โลกสว่างไปด้วยความคิด ความเข้าใจอันมีเหตุและผล ความจริง และเหตุผลสำคัญที่สุดต่อทุกชีวิต สถาบันกษัตริย์ของยุคนี้มีส่วนส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา ตลอดจนศิลปวิทยาการ จักรพรรดิ์แห่งออสเตรีย โจเซฟที่ ๒ (๑๗๖๕-๑๗๙๐) ปรับปรุงประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน เลิกระบบทาสติดที่ดิน การสอบสวนด้วยวิธีทารุณ และโทษประหาร จักรพรรดินีคาธารินาแห่งรัสเซีย (๑๗๖๒-๑๗๙๖) ต้อนรับนักปราชญ์จากทั่วยุโรป และนำรัสเซียสู่ความเป็นศิวิไลซ์มากเท่าที่จะทำได้ พระเจ้าฟรีดิชมหาราชแห่งปรัสเซีย (๑๗๔๐-๑๗๘๖) ให้ความสนับสนุนวอลแตร์และนักปราชญ์อื่นๆ พระองค์เองก็นับว่าเป็นปราชญ์คนหนึ่ง แต่ในทางทฤษฎีมากกว่าในทางปฏิบัติ ในขณะที่ราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ มีความ enlightened ในทางปฏิบัติมากกว่าในทางทฤษฎี นักปราชญ์สนใจศึกษาค้นหาความจริง ด้วยการสังเกต และทดลอง เสรีภาพทางการเมืองของประชาชนได้รับการอุ้มชูเป็นพิเศษ มีการท้าทายอำนาจของผู้ปกครองจากฝ่ายที่ถูกปกครองทั้งทางตรง(ในชีวิตการเมือง) และทางอ้อม(ในงานเขียนทางปรัชญา) เสรีภาพในความคิดและการแสดงออกเป็นสิ่งที่ยอมรับได้โดยทั่วไป แม้แต่ในประเทศที่เคร่งศาสนาและออกจะล้าหลังไปหน่อยสำหรับยุโรปอย่างสเปน พระเจ้าชาลส์ที่ ๓ (๑๗๕๙-๑๗๘๘) ก็นับว่าเป็นกษัตริย์นักปฏิรูปพระองค์หนึ่ง

Hume เป็นตัวแทนที่โดดเด่นของ Enlightenment ของสก๊อตแลนด์ นอกจากงานชิ้นสำคัญของเขาเรื่อง Treatise of Human Nature แล้ว เขายังได้เขียนบทความเกี่ยวกับการเมืองไว้หลายเรื่อง ในที่นี้ขอสรุปแนวคิดบางประการของเขาไว้เป็นข้อๆ ดังนี้

๑. ยากที่จะให้คำจำกัดความแก่ "มนุษย์" เพราะมนุษย์มีความหลากหลาย และ flexible มาก แรงจูงใจให้มนุษย์กระทำการต่างๆลงไปนั้น ไม่ใช่เหตุผลและความเข้าใจ แต่เป็นอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งมีธรรมชาติที่ซับซ้อนและขัดแย้งกัน ในแง่หนึ่งเหมือนว่ามนุษย์จะพัฒนาจนมีแนวโน้มอยู่กับสังคมและชุมชน สามารถเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ มีความรัก ความกตัญญู ความสงสารได้ แต่อีกแง่หนึ่ง มนุษย์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นแก่ตัว พอที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ของตน เป็นสิ่งมีชีวิตที่"เน่าเละ"แล้ว และเพียงเพื่อความพอใจของตนแม้ในระยะสั้น มนุษย์ก็พร้อมที่จะทำลายเพื่อนมนุษย์แล้ว หรือมีอิสระที่ไม่มีขีดจำกัดและมีอำนาจเหนือคนอื่นๆ

๒. แต่ที่จริง สังคมก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีอำนาจรัฐ สังคมเริ่มต้นที่ครอบครัว และการอยู่ร่วมกันก็เริ่มที่การแบ่งงานกันทำ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่เมื่อมีเรื่องทรัพย์สินเข้ามาเกี่ยวข้อง อำนาจรัฐก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น (รัฐเป็นผลิตผลจากการทำสัญญา น้อยกว่าการเป็นผลิตผลจากการมีทรัพย์สิน) ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นตัวอธิบายความมีศีลธรรมของมนุษย์ แต่ที่เรานึกว่าเป็นเรื่องของเหตุผลนั้น ก็เพราะว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเข้าใจและมองความเคยชินว่าเป็นเหตุผล

๓. หน้าที่สำคัญที่สุดของรัฐ คือการสร้างกฎหมายที่ยุติธรรมและมีผลบังคับใช้ทั่วไป กฎหมายซึ่งแม้จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์จะต้องสามารถกำหนดสิทธิ์การครอบครองทรัพย์สินตามกฎหมายและการใช้ทรัพย์สินนั้นได้ การลงโทษ และความกลัวว่าจะได้รับโทษจะทำให้มนุษย์เกิดการยับยั้งชั่งใจไม่ทำตามสัญชาติญาณของตน และนำไปสู่การทำตามกฎหมาย ตลอดจนการเคารพในทรัพย์สินของคนอื่น และในที่สุด ความเป็นห่วงต่อความสงบสุขส่วนรวมก็จะมาแทนที่ความโลภจากความเห็นแก่ตัว และสิ่งนี้จะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมในสังคมเดียวกันได้

๔. ด้วยการจัดให้มีสถาบัน (institutionalisation)การปกครองกลาง ความอยากแสดงอำนาจเหนือคนอื่นโดยธรรมชาติก็จะแสดงออกได้ในรูปแบบของการเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจได้(ตามกฎหมาย) ในฐานะดูแลผลประโยชน์อย่างเป็นกลางในเรื่องความยุติธรรม แต่สิ่งนี้ต้องใช้เวลานานในกระบวนการทางประวัติศาสตร์

Montesquieu เป็นนักทฤษฎีการเมืองที่สำคัญที่สุด(ของฝรั่งเศส)ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ งานชิ้นสำคัญของเขาคือ "หัวใจแห่งกฎหมาย" (De l'Esprit des Loix) แนวคิดของเขาประการหนึ่งคือ รัฐที่จะมีความเข้มแข็งและมั่นคงจะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพภูมิอากาศ โครงสร้างทางภูมิศาสตร์ ลักษณะประจำชาติของพลเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และการศึกษา เป็นต้น เขาได้แบ่งรัฐต่างๆเป็น ๓ ประเภทตามสภาพอากาศ ขนาดพื้นที่และลักษณะการปกครอง กล่าวคือ (Despotie) เป็นรัฐขนาดใหญ่ ในภูมิอากาศเขตร้อน และปกครองด้วยความกลัว รัฐ "ราชาธิปไตยผสม" เช่นอังกฤษ เป็นรัฐขนาดกลาง ในดินแดนเขตอากาศอบอุ่น และปกครองด้วยเกียรติ ส่วนสาธารณรัฐ (republic) เป็นรัฐขนาดเล็ก ในดินแดนที่มีอากาศหนาวเย็น และปกครองด้วย คุณธรรมของประชาชน (แม้ว่าวิธีคิดเช่นนี้จะไม่ตรงกับหลักเหตุผลสากลก็ตาม แต่ Montesquieu ก็ไม่สนใจ)

รัฐแบบสาธารณรัฐจะไปได้ดีก็ต่อเมื่อประชาชน (democracy) หรือชนชั้นปกครอง (aristocracy) ยอมรับระเบียบของรัฐธรรมนูญ จะด้วยความเคยชินหรือความรักในความเสมอภาคก็ตาม และยกผลประโยชน์ส่วนรวมไว้เหนือผลประโยชน์ส่วนตัว การกระทำเช่นนี้ได้เรียกว่าเป็น "คุณธรรมของประชาชน"

เขาได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพ (ทำได้ในสิ่งที่อยากทำ และไม่ต้องถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ) ในรัฐแบบสาธารณรัฐเกิดได้พร้อมกับการควบคุมตัวเอง (ซึ่งเป็นคุณธรรมของประชาชน) ในขณะที่ในรัฐแบบราชาธิปไตยเกิดได้ด้วยอำนาจ (ที่จะคอยดูแลและ"เบรก"กันเอง)

"หลายสิ่งควบคุมมนุษย์อยู่ หรือมีผลต่อสภาวะจิตของมนุษย์ เช่น ภูมิอากาศ ศาสนา กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ประสบการณ์ประวัติศาสตร์ ประเพณี และความเคยชิน" สภาวะจิตและประเพณีอันสืบเนื่องจากสภาวะจิตนี้นั้นเป็นตัวกำหนดความต่อเนื่องของสังคมที่ดำเนินไปอย่างช้าๆแต่มั่นคง ในสังคมที่มีระเบียบดี สวาวะจิตนี้จะกำหนดรูปแบบของรัฐธรรมนูญ และพฤติกรรม ตลอดจนวิธีคิด วิธีรับรู้และอธิบายประสบการณ์ในโลกของสมาชิกในสังคมนั้นอีกที

Montesquieu มองการค้าขายว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของสังคมยุคใหม่ การขยายตัวทางการค้าถือได้ว่าเป็นข้อดี แม้ว่าจะมีข้อเสียอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ข้อดีคือความร่ำรวย ความอุดมสมบูรณ์ และข้อดีคือ การค้าทำให้ชาติที่ค้าขายร่วมกันต้องพึ่งพากัน (interdependent) และนั่นคือหนทางสู่สันติภาพ ส่วนข้อเสียคือ จริยธรรมมักจะต้องหลีกทางให้กับการค้าเสมอ และถึงแม้ Montesquieu จะพูดถึงการค้า ระบบเงินตรา หรือนโยบายประชากร แต่เป้าหมายสำคัญที่เขาสนใจคือ ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและมนุษย์ ในบริบทที่ว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความแตกต่างของสังคม ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเหมือนกันตรงความที่มีเหตุผลก็ตาม

การแบ่งแยกและการคานอำนาจ เป็นผลงานที่ Montesquieu ขยายจากคำอธิบายของ Locke และได้กลายเป็นคุณลักษณะสำคัญในรัฐธรรมนูญสมัยใหม่โดยทั่วไป เริ่มที่รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา การศึกษาสภาวะจิตของประชาชนและความสัมพันธ์กับสถาบันการเมืองกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ และการศึกษาปัจจัยทางสังคมกับพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาสังคมวิทยาการเมืองสมัยใหม่

ในงานชื่อ "Du Contrat Social" ของ Rousseau ได้มีการพัฒนาทฤษฎีการเมืองขึ้นเพื่อทำให้กระฎุมพี (bourgeois) ที่เห็นแก่ตัวและมีบาปกลายเป็นพลเมืองของรัฐ (citizen) ที่มีคุณธรรม และเคารพกฎหมาย

มนุษย์ (man is born free) แต่ต่อมาได้ถูกสังคมพันธนาการไว้ แต่ปล่อยมนุษย์กลับคืนสู่ธรรมชาติ มนุษย์จะมีความสุขมาก แม้ในความป่าเถื่อนนั้น (return to nature) แต่ตอนนี้ มนุษย์ไม่มีอิสรภาพ ถูกกดขี่ และไม่ได้รับความยุติธรรม

เมื่อเกิดสังคมขึ้นมาแล้ว จะกลับสู่ธรรมชาติก็ไม่ได้ มาสร้างสังคมให้ดีขึ้นดีกว่า ด้วยการทำสัญญาตกลงจัดตั้งอำนาจรัฐขึ้น ด้วยความยินยอมพร้อมใจของทุกคน สะท้อนถึงการมีเจตน์จำนงร่วมกัน (general will) การทำสัญญานี้ ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะต้องเสียเสรีภาพ หรือสละเจตน์จำนงคร่วมนี้ให้แก่องค์อธิปัตย์ไป แต่มอบเสรีภาพให้แก่ชุมชนเป็นส่วนรวม และชุมชนแบ่งแยกไม่ได้ ก็คือ general will ทุกคนต้องต้องให้ความเคารพ ซึ่งก็คือ Will ของตนเองนั่นเอง (ในทางปฏิบัติ คือ มติมหาชน)

รัฐเป็นการรวมตัวของมนุษย์เข้าเป็นสังคมการเมือง รัฐมีอำนาจสูงสุด แทน general will รัฐบาลเป็นเพียงตัวกลาง ทำหน้าที่ระหว่างรัฐและประชาชน อำนาจการออกกฎหมายเป็นของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาล เพื่อประชาชนแสดงเจตน์จำนงอย่างเสรีและเต็มที่

คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ มีการเปลี่ยนแปลงมากในหลายๆทาง ปฏิวัติฝรั่งเศสในค.ศ. ๑๗๘๙ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทั้งทางสังคม และการเมือง สังคมเก่าถูกสั่นคลอน และมีความพยายามในการรักษาสถานภาพเดิมของตนไว้ พลังใหม่ในสังคมก็ต่อสู้เพื่อการปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น แต่แล้วนโปเลียนก็เกิดขึ้นมามีอำนาจ และทำให้โลกยุโรปสั่นคลอนอีกครั้งด้วยสงคราม ท้ายที่สุดชาติต่างๆก็ต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อสันติภาพ และการรักษาสถานะเดิมของตน

"ข้อคิดไตร่ตรองเรื่องการปฏิวัติในฝรั่งเศส" ของ Burke เป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ในเวลาที่หนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่นั้น การปฏิวัติฝรั่งเศสยังไม่สิ้นสุด (ซึ่งทำให้การประเมินอย่างเป็นวิชาการเป็นไปไม่ได้) แต่อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์นิยมถือว่า แนวความคิดในหนังสือเล่มนี้เป็นทฤษฎีการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมต้นฉบับเลยทีเดียว

Burke ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกว่า "พลิกแผ่นดิน" โดยเฉพาะด้วยการใช้กำลัง เขาให้ความสำคัญกับประเพณี สิ่งที่ถ่ายทอดกันมาจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ด้วยการสะสมประสบการณ์และการเลือกสรรแล้วของประวัติศาสตร์ ที่จริงเขาเองก็ไม่ได้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ("รัฐซึ่งไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลง ก็จะเป็นรัฐที่ไม่มีโอกาสอยู่รอดได้") หากแต่เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนั้น ต้องควรมาจากสถานการณ์ที่ไม่เป็นการเมือง แต่ควรจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ผ่านการกลั่นกรองด้วยประสบการณ์ในระยะเวลานานพอสมควร

การตัดสิน หรือประเมินทางการเมืองที่ดีนั้น ไม่จำเป็นต้องมาจากเหตุผลแต่อย่างเดียว หรือมาจากเหตุผลเป็นหลักใหญ่ แต่ควรมาจากความฉลาดในประสบการณ์ชีวิต ซึ่งสะสมมาในสถานการณ์ต่างๆ และความฉลาดเช่นว่านี้ ไม่ได้มาจากบุคคลคนเดียว แต่จะเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติที่ถ่ายทอดต่อกันมา หรือสะท้อนสถาบันในลักษณะที่เป็นประสบการณ์ร่วม (collective) ของบุคคลที่มีศักยภาพในการตัดสินใจทางการเมือง แม้ว่าประสบการณ์เหล่านี้จะไม่อาจมอบให้ได้โดยตรงเหมือนเป็นมรดก แต่เราก็จะหาได้ไม่ยากในบุคคลซึ่งเติบโตมาในครอบครัวซึ่งอยู่ในแวดวงของผู้มีประสบการณ์เช่นนั้น (คือในหมู่ชนชั้นปกครอง)

สังคมไม่ใช่การอยู่ร่วมกันโดยบังเอิญของคนจำนวนหนึ่งในสถานที่หนึ่งและในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่บุคคลเหล่านี้ยังจะต้องมีวัฒนธรรมร่วมกัน คิดเห็นหรือเชื่อมั่นไปในทำนองเดียวกัน มีศีลธรรม มีภาษาเป็นเครื่องมือที่จำเป็นของความคิด และมีรสนิยม ความรู้สึกผูกพัน ทั้งนี้ด้วยเหตุที่เขาเหล่านี้อยู่ร่วมกันในสังคมนั้น สังคมไม่ใช่แค่สมาคม ที่แค่มาพบกันด้วยเรื่องสรรพเพเหระ แต่สังคมต้องสามารถสร้างเอกลักษณ์ทางสังคมให้แก่มนุษย์ มนุษย์ซึ่งโดยลักษณะพร้อมจะอยู่เป็นสังคม

ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นั้นได้มีการพัฒนาทางสังคมหลายประการ ปรากฏการณ์ที่เด่น คือการเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาใช้ในทางการผลิต จนมีการปฏิวัติอุตสาหรรมเป็นครั้งแรกในอังกฤษ ผู้คนในคริสต์ศตวรรษนี้จึงสามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและสังคมได้เต็มที่ เกิดเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม การผลิตและการเอารัดเอาเปรียบรุนแรงขึ้น สังคมชนบทล่มสลาย สังคมเมืองเกิดขึ้นพร้อมด้วยปัญหาต่างๆนานา ทฤษฎีของชาร์ล ดาร์วินท้าทายคำสอนทางศาสนาอย่างยิ่ง และทำให้คนมีข้ออ้างในการเอารัดเอาเปรียบ ลัทธิ"ตัวใครตัวมัน" รุ่งเรืองขึ้น แต่ก็มีหลายคนที่เห็นว่า ปรากฏการณ์นี้ต้องแก้ไข

ในแนวความคิดทางการเมืองของกลุ่ม "อรรถประโยชน์นิยม" (utilitarianism) เรามีตัวแทน ๓ คนที่โดดเด่น คือ Bentham เป็นผู้เริ่มต้นแนวคิดนี้ James Mill ผู้พ่อ ซึ่งได้ทำงานร่วมกับ Bentham มาก่อน และเป็นนักปฏิบัติมากกว่า และ John Stuart Mill ผู้ลูก ซึ่งสร้างทฤษฎีไว้อย่างละเอียดและเป็นนามธรรมที่สุด

ความสนใจหลักของ Bentham คือการปฏิรูปกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายอาญา และต่อมาที่เขาสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เขาเริ่มต้นด้วยการโจมตีว่า สัญญาสังคมไม่มีและไม่เคยมี (ที่พูดกันมาก่อนนั้น เป็นเพียงการใช้ตรรกะเท่านั้น) และถึงมี ก็ไม่น่าสนใจหรือไม่มีผลกับคนในรุ่นหลังๆ เรื่องสิทธิ์โดยธรรมชาติก็เป็นเรื่องไร้สาระ สิทธิ์ที่จะมีได้เป็นเรื่องของกฎหมายที่องค์อธิปัตย์ให้ร่างขึ้น และใช้บังคับเอาด้วยการขู่ว่าจะมีการลงโทษ ถ้าไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายต้องมีความชัดเจน และควรมีที่มาที่ชัดเจน จนประชาชนพร้อมที่จะปฏิบัติตาม ในกรณีดังกล่าว Bentham โจมตีว่า Common Law เป็นเรื่องสับสนไม่มีเหตุผล เป็นประโยชน์แก่พวกทนายเท่านั้น แต่ไม่ใช่ประชาชนโดยส่วนรวม ถึงเวลาที่ควรจะมีระบบกฎหมายที่จัดระเบียบออกมาใหม่ ซึ่งควรเป็นไปตามหลักการประโยชน์ใช้สอย และจะต้องสนองประโยชน์สูงสุดของคนจำนวนมากที่สุดได้ด้วย (เช่น การลงโทษก็ต้องเป็นไปเพื่อให้ได้ประโยชน์แก่ส่วนรวมมากที่สุด)

ส่วน James Mill ให้ความสนใจในการวิเคราะห์แรงจูงใจของมนุษย์สำหรับการกระทำต่างๆ ในมิติของหลักประโยชน์ และพบว่า ทุกอย่างมาจากความต้องการสนองความพอใจ และเพื่อหลีกจากความเจ็บปวด-ไม่พอใจ และสมาชิกของชนชั้นปกครองก็ได้ใช้หลักการนี้เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองกับคนในปกครองของตน เขาได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงระบบรัฐสภา ให้มีการเลือกตั้งทั่วไปและในทางลับ กับให้มีการเลือกตั้งทุกๆปี แต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้เรียกร้องสิทธิ์เลือกตั้งให้แก่สตรีด้วย เพราะเห็นว่าเพียงพอแล้ว ที่บิดาหรือสามีจะใช้สิทธิ์นั้นแทน

ในงานที่ชื่อ "ว่าด้วยเสรีภาพ" John S. Mill พูดถึงเสรีภาพของประชาชนและเสรีภาพทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรม เสรีภาพซึ่งในยุคแรกถูกรุกรานด้วยการใช้อำนาจของผู้ปกครอง ทำให้ต้องสังคมต้องหาทางปกป้องด้วยกฎหมายหรือสถาบันต่างๆ ซึ่งก็เป็นผลดีมาระยะหนึ่ง แต่ในปัจจุบัน (ค.ศ. ๑๘๕๙) ในแนวปฏิบัติขององค์ประชาธิปัตย์ มีความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง ปัญหาของเสรีภาพส่วนบุคคลก็คือ อาจถูกกระทบกระเทือนได้ด้วย "ทรราชของเสียงข้างมาก" ซึ่งยากที่ระเบียบสังคมหรือสถาบันที่มีอยู่จะปกป้องและป้องกันได้ ด้วยเหตุนี้ Mill จึงเรียกร้องให้เสรีภาพส่วนบุคคลไม่ต้องอยู่บนพื้นฐานของเสียงข้างมาก หรือด้วยความเคยชิน จะต้องไม่ถูกจำกัดด้วยเหตุดังกล่าว ยกเว้นเพื่อผลประโยชน์ของการปกป้องเสรีส่วนบุคคลของคนอื่นๆ และยังบอกว่าเสรีภาพส่วนบุคคลซึ่งมีบทบาทสำคัญแก่ประโยชน์ของส่วนรวมคือ เสรีภาพในความคิดและการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการดำรงชีวิตและในการประชุม (แม้ความเห็นของบุคคลจะต่างจากความเห็นของส่วนใหญ่อย่างไร ก็ไม่ควรถูกห้ามให้แสดงความคิดเห็นนั้นออกมา ด้วยเหตุผลว่า ถ้าความเห็นที่แปลกออกไปนี้เกิดถูกต้องขึ้นมา โอกาสที่สังคมจะพัฒนาไปในทางที่ถูกต้องนั้นก็จะถูกปิดกั้นเสียอย่างไร้ความหมาย ซึ่งหมายถึงโอกาสที่มนุษยชาติจะพัฒนาและแสวงหาความจริงก็จะต้องเสียไปด้วย และถึงแม้ว่าความเห็นนั้นอาจจะผิด การห้ามแสดงความคิดเห็นก็จะทำให้บุคคลอื่นไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นคัดค้านเพื่อการตรวจสอบและพิสูจน์ ความคิดเห็นที่ถูกปิดกั้นอยู่นานๆจะกลายเป็นความเชื่อที่งมงายและไร้เหตุผลได้โดยง่าย) เขาสรุปว่า ความก้าวหน้าเกิดขึ้นไม่ได้เลยโดยไม่มีเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น

Mill ยังใช้แนวความคิดเรื่องเสรีภาพอธิบายพฤติกรรมทางเศรษฐศาสตร์ของมนุษย์ว่า ถึงแม้ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะมีการแบ่งปันกันอย่างไม่เท่าเทียมกันโดยการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง ก็ไม่ได้แปลว่าการกระทำที่นำผลดีผลเสียมาให้นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ตราบใดที่ไม่ได้วิธีการอันไม่ชอบธรรมในทางที่จะให้เกิดผลประโยชน์เฉพาะแก่ตนเองเท่านั้น (เช่นการขายสุรา ยาพิษ การพนัน หรือการค้าประเวณี) (แต่ Mill มีอนุมานว่าบุคคลต้องรู้เองว่า ไม่ควรกระทำการที่จะเป็นภัยแก่ตน) โดยหลักการของ Mill: จะไม่มีเสรีภาพ เมื่อต้องสละเสรีภาพของตนเอง แต่ Mill ก็ยอมรับว่า ในเรื่องของครอบครัวและเกี่ยวกับการศึกษา มีความจำเป็นอยู่บ้างที่ต้องจำกัดขอบเขตของเสรีภาพ เช่นเด็กๆต้องรับการศึกษา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม

สุดท้าย Mill เรียกร้องให้รัฐและบุคคลากรของรัฐ ควรทำหน้าที่เพียงจัดการในกิจการต่างๆให้เกิดเป็นผลประโยชน์อย่างเสรีและในความร่วมมือกันแก่ประชาชนเท่านั้น โดยเข้ายุ่งเกี่ยวน้อยที่สุด เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะมิฉะนั้นแล้ว อำนาจที่ไม่จำเป็นของรัฐก็จะทำให้ประชาชนสูญเสียเสรีภาพไปได้

"On Liberty" ถือว่าเป็นเอกสารเริ่มต้นของทฤษฎีการเมืองแบบเสรีนิยมสมัยใหม่

งานสำคัญอีกชิ้นของ MIll ซึ่งพูดถึงระบบและสถาบันการเมือง ในบริบทของเสรีภาพของประชาชนโดยตรง คือ "Considerations on Representative Government"

พัฒนาการทางเศรษฐกิจ-สังคม และทางการเมืองในเยอรมันเป็นอีกลักษณะหนึ่ง ต่างๆไปจากในอังกฤษและฝรั่งเศส ทุกอย่างออกจะช้ากว่าในอีก ๒ ประเทศ ในขณะที่อังกฤษมีการปฏิวัติของประชาชนมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ แล้ว และสามารถพัฒนาในทางเศรษฐกิจจนเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษต่อมา และสามารถประคับประคองด้วยมาตรการทางการเมืองไม่ให้เกิดการปฏิวัติใหญ่ทางสังคมได้ ฝรั่งเศสก็มีแนวทางการพัฒนาของตนเอง รัฐฝรั่งเศสเป็นรัฐที่รวมอำนาจสู่ศูนย์กลางอย่างยิ่ง กษัตริย์พระองค์หนึ่งถึงกับตรัสว่า "ฉันคือรัฐ" แต่เนื่องจากไม่มีการปฏิรูปทางสังคมและทางการเมืองที่สำคัญเกิดขึ้นเลย ในที่สุดก็เกิดการปฏิวัติใหญ่ขึ้น แต่ไม่นานนัก ฝรั่งเศสก็มีกษัตริย์นักรบเป็นผู้นำใหม่ สร้างความรู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษแก่ชาติฝรั่งเศส แม้ว่าจะต้องแพ้สงครามในที่สุด ส่วนในดินแดนเยอรมันนั้น มีลักษณะของการปกครองท้องถิ่นที่เป็นอิสระจากกัน (ประมาณ ๓๐๐ กว่ารัฐ และเมืองที่เป็นอิสระ) ลักษณะเฉพาะตัวก็มีข้อดี เพราะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างสูง ข้อเสียคือการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นไปค่อนข้างช้า เพราะในดินแดนเยอรมันมีเส้นกั้นพรมแดนมากมายเหลือเกิน (เมื่อปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่อำนวย ก็แข่งขันกันทางวัฒนธรรม) แต่ในที่สุด ปรัสเซียก็ก่อร้างสร้างตัวมีอำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นคู่แข่งของราชสำนักที่ออสเตรียได้ รัฐเยอรมันทั้งหลายเมื่อปลาย คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการรวมตัวเป็นชาติ

ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ กระแสของ Romanticism กำลังมาแรงในหมู่ปัญญาชนเยอรมัน พวกโรมันติกปฏิเสธภาพของโลกตามทัศนะของนิวตัน ซึ่งมองโลกอย่างเป็นระบบกลศาสตร์ ที่มีความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงตามกฎที่คำนวณด้วยคณิตศาสตร์และทำนายได้ พวกเขาชื่นชมที่จะมองโลกตามภาพของธรรมชาติที่เป็นกระบวนการที่ค่อยเติบโตและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอกเวลา มองมนุษย์อย่างเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ เป็นผลิตผลและการสร้างของจิตวิญญาณที่มีพลังเหนือสิ่งอื่นใด มีพฤติกรรมจากพลังผลักดันอันสับสนวุ่นวาย (chaotic) ของอารมณ์และความรู้สึกสำนึกต่างๆ และสังคมไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพียงเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันโดยปราศจากข้อขัดแย้ง โดยต้องสละความพอใจของตนให้น้อยที่สุด หรืออยู่ในสังคมเพื่อสร้างความพอใจสูงสุดแก่ตนเอง

ตรงนี้ขอแทรกเกี่ยวกับทฤษฎีไดอาเล็คติก มีบทบาทไม่น้อยในพื้นฐานความคิดของ Hegel นักปรัชญาสมัยก่อนเฮเกลเชื่อว่า ทุกอย่างในจักรวาลตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เฮเกลเชื่อตรงกันข้ามว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและจะปฏิรูปในทางที่ดีขึ้น การปฏิรูปจะเกิดขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด เขาให้ชื่อทฤษฎีของเขาว่า Dialectic ซึ่งเป็นภาษากรีก แปลว่า การใช้เหตุผล และเขาอธิบายต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากการปะทะหรือความขัดแย้งของสองสิ่ง ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกัน และทำให้เกิดความเคลื่อนไหว (movement) และนำไปสู่สภาพใหม่ที่ดีกว่า แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะมีสิ่งตรงข้ามเกิดขึ้น และก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพใหม่อีก และจะเป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

ปรัชญาการเมืองของ Hegel เป็นทฤษฎีที่วิจารณ์สังคมเมืองสมัยใหม่ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เอาการปฏิวัติใหญ่ ๒ ครั้งมาประเมินด้วย นั่นคือการปฏิวัติฝรั่งเศส(ทางการเมือง) และการปฏิวัติอุตสาหกรรม(ทางสังคม) การปฏิวัติสะท้อนเจตน์จำนงทั่วไปของประชาชน แต่ในกรณีของการปฏิวัติฝรั่งเศส เจตน์จำนงของประชาชนแต่ละคน และของส่วนรวมไม่ประสานกัน ผลก็คือความโหดร้ายและการกดขี่ ในกรณีของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลคือการแบ่งงานที่เข้มงวดขึ้นและความร่ำรวย แต่ก็หมายถึงความยากจนและการถูกกดขี่อีกด้วย และรัฐก็ได้กลายเป็นแค่เครื่องมือเฝ้าดูแลผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทำหน้าปกป้องผลประโยชน์แก่สมาชิกทุกคนในสังคม แต่ Hegel ว่าการกลับคืนสู่รูปแบบที่เป็นอุดมคติของการอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ โดยที่ปัจเจกชนที่อยู่ในสังคมอย่างเป็นเอกเทศจะต้องกลับคืนสู่ "ความมีศีลธรรม" ของรัฐและประชาชน (folk) อีกครั้ง

นอกจากนี้ คำว่า "เสรีภาพ"ก็มีบทบาทมากในปรัชญาของ Hegel : มนุษย์ปรารถนาเสรีภาพ และสร้างความจริงขึ้นตามนั้น นิยามของคำว่าเสรีภาพของเขา คือ การยกเลิกข้อจำกัดทั้งหลาย และ การที่สามารถอยู่เป็นตัวของตนเองได้ แต่เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียว ปัญหาก็คือ ต้องสร้างสถาบันทางสังคมขึ้น ที่จะทำให้ทุกคนมีเสรีภาพอย่างนั้นได้ สถาบันเช่นว่านั้นก็คือ นิติรัฐ ซึ่งมีข้อกำหนดสิทธิ์ของรัฐและประชาชน การยอมรับอำนาจของ "ความคิด" รัฐจะต้องมีหน้าที่ประสานประโยชน์หรืออมชอมผลประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวม แต่ในกรณีที่เกิดปัญหาในการกำหนดดุลอันเหมาะสมระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและของประชาคม เฮเกลตัดสินใจให้ผลประโยชน์ของฝ่ายประชาคมมากกว่า

Hegel มองสังคมเมืองว่าเป็นผลมาจากการดำเนินชีวิตในโลกสมัยใหม่ และได้เข้ามามีบทบาทแทรกอยู่ระหว่าง ครอบครัวและรัฐ และได้กลายเป็นสถานที่ต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของทุกคนกับทุกคน เป็นแหล่งสะท้อนความยากแสนสาหัส ความเสื่อมโทรมทั้งทางวัตถุและทางศีลธรรม ในภาพของความเป็นจริงคือ สังคมเมืองเป็นที่ที่คนจำนวนน้อยสะสมความร่ำรวย ในขณะที่คนจำนวนมากต้องลำบาก และขาดอิสรภาพ และที่สำคัญคือ เนื่องจากงานที่ต้องทำ(งานแลกเงิน) พวกเขาได้สูญเสียความสำนึกต่อกฎหมายและความยุติธรรม และศักดิ์ศรี Hegel ทำนายว่า โลกจะพัฒนาต่อไปสู่จักรวรรดินิยมทางวัตถุ และจะทำให้คนจำนวนหนึ่งค้นพบแนวคิดว่า ถึงเวลาแล้วจะต้องกลับคืนสู่หลักการของครอบครัว และรัฐก็จะต้องมีภารกิจเพิ่มเติม นอกเหนือจากการให้สวัสดิการแก่ผู้ยากไร้แล้ว รัฐจะต้องนำผลประโยชน์จากความเห็นแก่ตัวกลับคืนสู่ส่วนรวม

รัฐที่ดีที่สุดในทัศนะของ Hegel ไม่ใช่รัฐที่เสรีภาพส่วนบุคคลเป็นใหญ่ที่สุด แต่เป็นสังคมที่มนุษย์แต่ละคนสามารถแสดงออกซึ่งเจตน์จำนงของตนให้ปรากฏเป็นลักษณะเฉพาะพิเศษได้ตามทัศนะทางศีลธรรมของเขา โดยสรุป "รัฐโดยตัวเองแล้ว คือความมีศีลธรรม คือการทำให้เสรีภาพเป็นความจริง" และ "เป้าหมายของประวัติศาสตร์ทั้งปวงคือ เป้าหมายสูงสุดของความมีเหตุผล ที่เสรีภาพเป็นความจริง"

เป็นที่น่าสนใจว่า ผลงานทางปรัชญาการเมืองของ Hegel สามารถอ้างอิงได้จากทั้งฝ่ายขวาจัด เช่นพวกฟาสซิสต์ และจากพวกซ้ายจัด เช่นพวกคอมมิวนิสต์

ความคิดเรื่องทรัพย์สินส่วนบุคคลได้พัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และดูเหมือนว่ามนุษย์จะได้ตกเป็นทาสของทรัพย์สินที่พวกเขาได้สร้างขึ้นเอง ในอดีตมีผู้คิดถึงสังคมที่มีทรัพย์สินเป็นส่วนกลาง ปราศจากทรัพย์สินส่วนบุคคล (เพลโต และโทมัส มอร์) ซึ่งในทางทฤษฎีการเมืองเรียกว่าเป็น "สังคมนิยม"

หลักการทางปรัชญาของ Marx คือ historical materialism (วัตถุนิยมประวัติศาสตร์) ปรากฏอยู่ในงานสำคัญ ๒ ชื้นคือ "The Capital" และ "The Communist Manifest" งานชิ้นแรกเป็นการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ โดยพิจารณาจากแนวทางเศรษฐศาสตร์ และพบว่าพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์นี้เป็นตัวกำหนดโครงสร้างส่วนบนของสังคม เช่น สถาบันทางกฎหมาย ทางการเมือง และทางศาสนา และรัฐก็เป็นเพียงสถาบันของชนชั้นหนึ่งในสังคมเท่านั้น ที่ใช้โครงสร้างส่วนบนของสังคมเป็นเครื่องมือในการรักษาและเพิ่มอำนาจและทรัพย์สินของตน มีเพียงการปฏิวัติเท่านั้นที่จะทำลายทรัพย์สินส่วนบุคคล และการแบ่งแยกชนชั้นได้ หลังจากนั้น "รัฐ" ก็จะตายและหมดความหมายไป (ปัจจัยการผลิต พลังการผลิต และความสัมพันธ์ทางการผลิต ทุนนิยม กำไร การสะสมทุน)

งานชื้นที่สองของเขา (เขียนร่วมกับ Friedrich Engels) ว่าด้วยทฤษฎีการเมืองในลักษณะที่เป็นแนวนโยบาย และมุ่งหวังผลในทางปฏิบัติจริง "ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหลายทั้งปวง เป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น" เขาพูดถึงพัฒนาการของชนชั้นกระฎุมพีและการควบคุมกระบวนการการผลิตและโครงสร้างส่วนบนของสังคม และความเสื่อมของชนชั้นนั้น พร้อมกับการพัฒนาการรวมตัวของกรรมกรขึ้นเป็นชนชั้นใหม่ และภารกิจทางประวัติศาสตร์ของพวกเขา เนื่องจากมีความเข้าใจผิดและอคติอย่างมากต่อขบวนการคอมมิวนิสต์ จึงต้องพัฒนาคอมมิวนิสต์ให้เป็นวิทยาศาสตร์ และทำให้องค์กรเป็นผู้นำในขบวนการของกรรมกรสากล ในงานดังกล่าว มีการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองอยู่ด้วย เพราะในแนวทางสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เองก็มีรูปแบบย่อยแฝงอยู่หลายแนวทาง ซึ่งแข่งขันกันเอง (เป็น ideological critique ครั้งแรก) และท้ายสุด ได้มีการเสนอแนวทางปฏิบัติสำหรับพรรค พูดถึงยุทธศาสตร์ทั้งในแผนระยะสั้น และในแผนระยะยาว มีการกำหนดเงื่อนไขและบทบาทที่เหมาะสมกับเงื่อนไข การทำงานร่วมกัน การร่วมมือกับกลุ่มต่างๆในสังคม และท้ายสุด ด้วยคำขวัญว่า "กรรมกรทั้งหลายในโลก จงผนึกพลังกันเข้า" สำนึกของการปฏิวัติของชนชั้นกรรมกรก็ถูกปลุกขึ้น
Read more ...