น้ำยาวิชานิติศาสตร์ไทย

16/2/53
การศึกษากฎหมายไทย ไม่ให้ความสนใจต่อการศึกษาค้นคว้าถึงแนวความคิดทฤษฎี ที่จะช่วยให้เกิดพลังใน การวิ พากษ์วิจารณ์หรือเกิดการตั้งคำถามใหม่ๆ ในทางวิชาการ ทำให้ไม่เกิดความเคลื่อนไหวหรือการโต้แย้งในประเด็นต่างๆ เช่น ความคิดแบบอิตถีศาสตร์ทางกฎหมาย (Feminist Legal Theory) มีส่วนอย่างมากต่อการวิเคราะห์ถึงความไม่เสมอภาคทางเพศในกฎหมาย อันเป็นผลให้นำไปสู่การสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น แนวความคิดแบบสัจนิยมทางกฎหมาย ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อการตัดสินของผู้บังคับใช้กฎหมายว่าดำเนินไปโดยมีอคติใดแอบแฝงอยู่หรือไม่ แต่สำหรับวิชานิติศาสตร์ไทย แนวความคิดต่างๆ เหล่านี้ปราศจากความหมาย เนื่องจากไม่ได้ช่วยให้ผู้เรียนกลายเป็น "นักกฎหมายที่เก่ง" ขึ้นมา อีกทั้งกลายเป็นวิชาไม่มีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพเลย
น้ำยาวิชานิติศาสตร์ไทย
สมชาย ปรีชาศิลปกุล สาขาวิชานิติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

1. ความเฟื่องฟูในความตกต่ำ
สุรพล นิติไกรพจน์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงความนิยมของการศึกษาทางด้านกฎหมายว่ากำลังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

"จากการรับสมัครนักศึกษาของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แบบรับตรงเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้สมัครรวมถึง 2,367 คน จากจำนวนรับเพียง 125 คน นอกจากนี้นักศึกษาที่สอบเอ็นทรานซ์เข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เป็นคนสุดท้าย มีคะแนนที่สามารถเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้สบายๆ

แสดงว่าในปัจจุบันมีความต้องการเรียนกฎหมายเพิ่มขึ้น เพราะปัจจัยเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้พิพากษาและอัยการสูงขึ้น ทำให้เกิดกระแสความต้องการรวมถึงบทบาทของนักกฎหมายที่เกิดขึ้นในโอกาสต่างๆ ทำให้สังคมเห็นความจำเป็น ขนาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังตั้งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายด้วย" (มติชนรายวัน 17 ตุลาคม 2545)

ภาพประกอบบทความดัดแปลง ผลงานจิตรกรรมของ Lucian Freud ชื่อภาพ Girl with a white dog 1951 ภาพประกอบหลัง ผลงานภาพถ่ายของ George Steinmetz จากหนังสือ National Geographic : July 2001หน้า 110-111 หากประสบปัญหา ภาพและตัวหนังสือซ้อนกัน กรุณาลดขนาด font ลงมา จะแก้ปัญหาได้

Rrelate

ในการเรียนการสอนทุกศาสตร์ทุกสาขาวิชาชีพในปัจจุบันนี้ จะเน้นเทคนิคเป็นตัวตั้งไม่สนเรื่องคน ส่วนนิติศาสตร์ก็ดำทะมึนไม่เห็นทางออก : ศ.นพ.ประเวศ วะสี 

ความเฟื่องฟูของการศึกษาวิชานิติศาสตร์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงของมหาวิทยาลัยรัฐที่เป็นสถาบันเก่าแก่อย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เท่านั้น มีการขยายตัวของการศึกษาเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้มีอย่างชัดเจน หากพิจารณาถึงการเปิดสอนหลักสูตรนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเอกชน จากเดิมที่มีสถาบันเอกชนเปิดสอนระดับปริญญาตรีทางด้านนิติศาสตร์เพียง 5 แห่งเมื่อ พ.ศ. 2529 กลับเพิ่มจำนวนเป็นไม่น้อยกว่า 25 แห่งในปัจจุบัน

รวมถึงการขยายตัวของการศึกษาที่สูงขึ้นทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยที่ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยของรัฐ 2 แห่งเปิดสอนหลักสูตรในระดับปริญญาเอก

แต่ความเฟื่องฟูของการศึกษาวิชานิติศาสตร์นี้ เป็นเครื่องหมายถึงความก้าวหน้าในทางวิชาการนิติศาสตร์ด้วยหรือไม่?

ดูเหมือนว่าไม่มีคำตอบหรือการพิเคราะห์ที่ชัดเจนจากแวดวงวิชาการนิติศาสตร์ สุรพลซึ่งตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ หากเพียงแต่สรุปสถานการณ์ของการเรียนนิติศาสตร์ที่ดูเหมือนน่าภาคภูมิใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะ "ที่ผ่านมาเด็กนิติฯ มักจะขอโอนย้ายไปเรียนสาขาอื่น แต่เวลานี้เด็กสาขาอื่นกลับโอนมาเรียนนิติกันแล้ว"

แต่สำหรับสายตาของบุคคลที่อยู่นอกแวดวง หรือมิได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายโดยตรง ความเฟื่องฟูนี้ไม่ได้มีความหมายถึงความก้าวหน้าในวิชาการความรู้นิติศาสตร์แต่อย่างใด นพ. ประเวศ วะสี ซึ่งได้เคยแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ระบบกฎหมายของไทยมาหลายครั้งถึงสภาพปัญหา(ที่วงการนิติศาสตร์ไทยเองไม่ค่อยได้ตระหนักถึง) ของการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมายในสังคมไทยบ่อยครั้ง ได้ย้ำถึงทรรศนะของตนที่มีต่อวงการนิติศาสตร์อีกครั้งเมื่อ 31 ตุลาคม 2545 ที่ผ่านมาว่า...

"ในการเรียนการสอนทุกศาสตร์ทุกสาขาวิชาชีพในปัจจุบันนี้ จะเน้นเทคนิคเป็นตัวตั้งไม่สนเรื่องคน ส่วนนิติศาสตร์ก็ดำทะมึนไม่เห็นทางออก จนทำให้เกิดความรุนแรงอย่างชาวบ้านที่จังหวัดอ่างทองถูกตำรวจจับกุม เพราะส่งกระจายเสียงวิทยุชุมชนของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกกฎหมาย ตนพูดเสมอว่าอย่าเอานิติศาสตร์เป็นตัวตั้งให้เอาธรรมศาสตร์หรือธรรมะเป็นตัวตั้ง จึงจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมาย ตนพูดกับนักกฎหมายมา 7-8 ปีแต่ทำไม่ได้ นักกฎหมายบอกว่าเป็นความอ่อนแอทางวิชาการ กฎหมายสอนแต่ให้เป็นทนายความเป็นผู้พิพากษา" (มติชนรายวัน 1 พฤศจิกายน 2545)

คำวิจารณ์ต่อระบบกฎหมายของไทย เป็นส่วนหนึ่งในการบรรยายเรื่องปรัชญาสหวิทยาการ (เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ศ.ดร. อภิชัย พันธเสน) โดยที่ได้หยิบยกเอาการศึกษากฎหมายขึ้นมาเป็นประเด็นย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ในทรรศนะของผู้พูดต้องเป็นปัญหาที่มีความสำคัญไม่น้อยทีเดียว

แม้ว่าโดยวิชาชีพที่ไม่ใช่นักกฎหมายแต่นับว่า นพ. ประเวศ สะท้อนกล่าวได้ตรงประเด็นถึงปัญหาของระบบการศึกษากฎหมายไทยว่า เป็นผลของการที่สถาบันการศึกษากฎหมายของไทยให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาเพื่อไปประกอบอาชีพเช่นผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ เป็นหลัก

Lord Denning นักกฎหมายชาวอังกฤษได้แสดงความเห็นว่าบทบาทหรือภารกิจของสถาบันการศึกษากฎหมายที่สำคัญมีอยู่ 3 ด้านด้วยกัน คือ

ประการแรก การให้การศึกษากฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน หรือ positive law อันเป็นการศึกษาว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นมีเนื้อหา การตีความ การบังคับใช้อย่างไร ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและใช้กฎหมายได้

ประการที่สอง ศึกษากฎหมายในด้านของพัฒนาการ เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของหลักกฎหมายและเหตุผลที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย และ

ประการที่สาม เป็นการศึกษานิติศาสตร์ในทางคุณค่าเพื่อชี้ให้เห็นผลดีผลเสียจากการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการแสวงหาทางออกในกรณีที่กฎหมายนั้นไม่สอดคล้องหรือก่อให้เกิดปัญหากับสังคม

นี่คือภารกิจพื้นฐาน 3 ประการของการจัดการศึกษาวิชานิติศาสตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง แต่สำหรับในประเทศไทยดูเหมือนว่าจะมีเพียงภารกิจประการแรกเท่านั้น ที่ได้รับความใส่ใจ ส่วนภารกิจในด้านอื่นๆ ที่เหลือกลับยังแทบไม่ปรากฏให้เห็นแต่อย่างใด

มีเหตุผลอะไรที่ทำให้การศึกษานิติศาสตร์ในประเทศไทย จึงมองข้ามบทบาทด้านอื่นๆ ไปแทบจะสิ้นเชิง?

2. วิชาชีพครอบงำวิชาการ

ระบบการศึกษาวิชานิติศาสตร์ของไทยในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2492 การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นมีการยกเลิกหลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิต ซึ่งตามวัตถุประสงค์เดิมเป็นการจัดการศึกษา เพื่อเผยแพร่แนวความคิดและหลักวิชาใหม่ๆในระบอบประชาธิปไตย แก่คนในสังคมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง กลายมาเป็นระบบการศึกษาที่มีการแยกออกเป็นสาขาวิชาต่างๆ อย่างชัดเจน คือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และพาณิชยศาสตร์และการบัญชี

เฉพาะในส่วนของนิติศาสตร์ มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรที่เป็นไปเพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพทางด้านกฎหมายมากขึ้น เช่น กฎหมายอาญาที่เดิมเคยจัดไว้เพียงภาคการศึกษาเดียวก็ขยายออกเป็น 3 ภาคการศึกษา สอนเนื้อหากฎหมายที่เป็นอาชีพเฉพาะทาง เช่น พ.ร.บ. ข้าราชการตุลาการ อัยการ ทนายความ เป็นต้น และมีการตัดเนื้อหาวิชา ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจกับสังคมออกไป เช่น วิชาลัทธิเศรษฐกิจ

หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาให้ชัดเจนที่สุดก็คือ หลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิตหลังการแยกเป็นคณะคือการเปลี่ยนทิศทางการศึกษากฎหมายบนฐานของสหวิทยาการ มาสู่ความเป็นช่างเทคนิคทางกฎหมายมากขึ้น

นอกจากการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษานิติศาสตร์แล้ว ใน พ.ศ. 2491 ได้มีการจัดตั้งเนติบัณฑิตยสภาขึ้น อันเป็นหน่วยงานที่จะมีบทบาทต่อการกำหนดแนวทางการศึกษากฎหมายอย่างมากต่อมาในภายหลัง

ในเบื้องต้นวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งเนติฯ ก็เพื่อเป็นการฝึกอบรมให้แก่ผู้ที่มีอาชีพทางด้านกฎหมายในอันที่จะใช้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ แนวทางการศึกษาของเนติฯ จึงเน้นหนักในแง่ของตัวบทกฎหมาย การตีความและการบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก เพื่อให้สามารถใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

เพราะฉะนั้น หากเปรียบเทียบระหว่างสถาบันการศึกษาเช่นเนติฯ กับการศึกษาวิชานิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย อาจกล่าวได้ว่าขณะที่มหาวิทยาลัยมีหน้าที่ในการจัดการศึกษาทั้งในแง่ของกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ พัฒนาการความเป็นมาและการประเมินถึงผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไข ส่วนเนติฯ จะจัดการศึกษาเพิ่มเติมเฉพาะในส่วนของผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพที่ใช้ความรู้ทางด้านกฎหมายโดยตรง ให้สามารถใช้กฎหมายที่มีผลบังคับอยู่ได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น

แต่เส้นแบ่งระหว่างสถาบันการศึกษาทั้งสองปรากฏขึ้นในความเป็นจริงหรือไม่?

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เคยกล่าวถึงข้อขัดแย้งของระบบการศึกษากฎหมายไทย โดยเฉพาะบทบาทของเนติฯ ไว้อย่างตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่ง ในการสัมมนาเรื่องพัฒนาการทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์กับสังคมไทย เมื่อ พ.ศ. 2529 ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดังนี้

"ปัญหาของการศึกษานิติศาสตร์ในประเทศไทยในเวลานี้ก็คือว่า ทุกมหาวิทยาลัยหวังแต่ผลิตบัณฑิตของตัวให้หางานทำได้มากที่สุด ตลาดใหญ่ที่สุดและ traditional มากที่สุดคือตลาดอัยการ, ผู้พิพากษา, ทนาย สามวิชาชีพนี้มีอะไรคุมครับ เนติบัณฑิตยสภา สำนักฝึกอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เพราะฉะนั้นหลักสูตรของมหาวิทยาลัยทั้งหลายทั้งที่เป็นรัฐและของเอกชน จึงเลียนแบบหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ร้ายไปกว่านั้นเอาอาจารย์ชุดเดียวกันมาสอนครับทั้งที่เนติฯ, จุฬา, ธรรมศาสตร์

เคยมีผู้พยายามที่จะแหวกวงว่ายออกจากวัฏจักรนี้ที่อาจารย์มาลี (พฤกพงษศาวลี) ว่าก็คืออาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ แต่เป็นที่น่าเสียดายนะครับท่านก็ถูกโจมตีว่าจะไปสอบเนติฯ สู้เขาได้อย่างไร

ผลก็คือว่าวิชาชีพมันครอบงำวิชาการ ซึ่งมีผลในการพัฒนาการศึกษากฎหมายเพราะว่า นักวิชาชีพคือท่านผู้พิพากษา ท่านอัยการ ท่านทนายความเหล่านี้ ได้เข้ามากำหนดบทบาทของการศึกษานิติศาสตร์นั้น ท่านเข้าไปทั่วทุกหัวระแหง แห่งแรกที่ท่านยึดหัวหาดคือเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เป็นเพราะมหาวิทยาลัยเองระบบอาจารย์ประจำยังไม่แข็ง ซึ่งในเวลานี้สภาพดีขึ้นมากแล้ว(เฉพาะในมหาวิทยาลัยของรัฐเท่านั้น-ผู้เขียน)

แห่งที่สองที่ท่านเข้าไปยึดหัวหาดก็คือท่านเข้าไปในกรรมการต่างๆ ของรัฐที่คุมการศึกษานิติศาสตร์ ท่านเข้าไปในทบวงมหาวิทยาลัยอยู่ในคณะกรรมข้าราชการพลเรือนเลยทีเดียว ท่านเข้าไปคุมการศึกษานิติศาสตร์ภาคเอกชน ท่านเข้าคุมสภาวิจัยแห่งชาติ 40 กรรมการสาขานิติศาสตร์ของสภาวิจัยกว่าครึ่งมาจากวิชาชีพดั้งเดิม ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ หลายท่านเป็นครูบาอาจารย์ของผม

และเป็นที่น่าแปลกมหัศจรรย์ว่าหลายท่านนั้น ตำราสักเล่มหนึ่งท่านก็ไม่เคยเขียนแต่เป็นกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติทางด้านนิติศาสตร์ เพราะฉะนั้นผลผลิตออกมาคุณสมบัติเดียวกันหมด จบธรรมศาสตร์ จบจุฬาฯ จบรามคำแหง จบ มสธ. จบศรีปทุม อะไรก็แล้วแต่คุณภาพเหมือนกันหมด"(รายงานการสัมมนาทางวิชาการ, 2529 น. 215-216)

3. มหาวิทยาลัยในฐานะอาณานิคม

จำเป็นต้องกล่าวในเบื้องต้นไว้ก่อนว่า การศึกษากฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในแต่ละช่วงเวลา เป็นความจำเป็นพื้นฐานของการศึกษากฎหมายเพื่อให้สามารถรู้และใช้กฎหมายเป็น การศึกษากฎหมายที่เน้นถึงตัวบทอันเป็นลายลักษณ์อักษร และการตีความ เมื่อเกิดข้อพิพาทในทางกฎหมายก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่ปรากฏอยู่ที่สำนักฝึกอบรมกฎหมายแห่งเนติฯ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง

แต่ปัญหาของการศึกษาวิชานิติศาสตร์ไทยก็เป็นไปดังที่บวรศักดิ์ได้แสดงความเห็นไว้ว่า เป็นภาวะที่ "วิชาชีพครอบงำวิชาการ" อันทำให้เกิดสภาพความยุ่งยากในระบบการศึกษากฎหมายดังที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน คือ

ประการแรก หลักสูตรวิชานิติศาสตร์บัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ ล้วนแต่มีสภาพเป็นเพียงโรงเรียนเตรียมเนติฯ แทบทั้งสิ้น

การครอบงำของเนติฯ ทำให้หลักสูตรการศึกษานิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ไม่มีความแตกต่างไปจากเนื้อหาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรเนติฯ เนื้อหาของวิชาที่ศึกษาในระดับปริญญาตรีประมาณ 80-90เปอร์เซ็นต์ของทุกสถาบันการศึกษาล้วน แต่มุ่งเพื่อให้ไปสู่การเรียนในชั้นเนติฯ ได้

สภาพเช่นนี้คณะนิติศาสตร์หรือสาขาวิชานิติศาสตร์ที่ผลิตบัณฑิตจึงมีสถานะเป็นเพียงโรงเรียนเตรียมเนติฯ แม้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยบางแห่งพยายามที่จะแหวกให้พ้นไปจากวังวนดังกล่าว แต่ก็ยังไม่สามารถกระทำได้อย่างเต็มที่

ประการที่สอง การศึกษาที่เน้นการท่องจำกลายเป็นกระแสหลักของระบบการเรียนการสอนนิติศาสตร์ไทย

ด้วยเหตุที่หลักสูตรของนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเนติฯ จึงมีผลให้การเรียนวิชานิติศาสตร์ไม่ต่างไปจากการเรียนในชั้นเนติฯ ซึ่งเน้นการท่องจำตัวบทและแนวคำวินิจฉัยของศาลในคดีต่างๆ ว่ามีแนวคำพิพากษาอย่างไร โดยไม่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการทำความเข้าใจถึงหลักกฎหมาย เจตนารมย์ ซึ่งมีความสำคัญต่อการศึกษากฎหมายเช่นกัน

วิระดา สมสวัสดิ์ ในฐานะผู้สอนกฎหมายคนหนึ่งได้สะท้อนลักษณะของการศึกษาแบบนี้ไว้ว่า
"วิชาเหล่านั้นความจริงแล้วในตัวของมันเองและผู้สอน น่าจะสร้างความคิดวิเคราะห์ให้แก่นักศึกษาต่างๆได้ว่า วิชาหรือตัวบทกฎหมายที่มันมีอยู่เป็นอย่างไร หรือมันเป็นความเป็นธรรมหรือไม่ นิติศาสตร์ทางคุณค่าไม่เป็นที่รู้จัก มันมีเหตุผลเบื้องหลังของบทบัญญัตินั้นอย่างไรใครเป็นผู้ได้ประโยชน์เสียประโยชน์ ก็น่าเสียใจไม่มีการพูดถึงเลย ก็เอาแต่ว่าจดจำกันกันอย่างไรและวงการนิติศาสตร์จะเป็นที่ปลาบปลื้มกันอย่างมากว่า ใครจำได้เก่งและคนที่จำได้เก่งมากจะเป็นผู้มีความสามารถอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราพูดกับวงการอื่นแล้วเขาหัวเราะเยาะเอาอย่างมากเลยว่า นิติศาสตร์นั้นไม่ได้มีความกว้างขวาง ไม่ได้มีความรับรู้สภาพของสังคมภายนอก" (รายงานสัมมนาทางวิชาการ, น. 220)

แม้จะเป็นคำวิจารณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2529 ในงานสัมมนาคราวเดียวกันกับที่บวรศักดิ์ได้วิจารณ์ถึงการครอบงำของวิชาชีพต่อวิชาการทางกฎหมาย แต่ผ่านมาจนบัดนี้ก็ยังไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงบังเกิดขึ้นมากนัก กับแนวทางการศึกษาวิชานิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ

ประการที่สาม ความพยายามในการสลัดหลุดจากการครอบงำ
สภาพปัญหาที่กล่าวมาไม่ใช่ไม่เคยเป็นที่ตระหนักถึง ในหมู่นักกฎหมายบางส่วนได้เคยมีความพยายามที่จะไปให้พ้นจากการครอบงำนี้ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีการแก้ไขหลักสูตรเมื่อ พ.ศ. 2515 ด้วยการเพิ่มลักษณะวิชาที่เป็นทฤษฎีความคิดและพัฒนาการของกฎหมาย ดังวิชานิติปรัชญา ประวัติศาสตร์กฎหมาย และลดเนื้อหาของกฎหมายที่เป็นตัวบท เช่นรวบรวมกฎหมายเอกเทศสัญญาย่อยๆ เข้ามาเป็นวิชาเดียวและสอนหลักที่สำคัญเท่านั้น

ถึงจะมีความเปลี่ยนแปลงในการปรับหลักสูตรนิติศาสตร์เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง คงเกิดขึ้นเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่มีความเข้มแข็งทางวิชาการเท่านั้น ยิ่งสำหรับมหาวิทยาลัยเอกชน ที่พากันแห่เปิดหลักสูตรนิติศาสตร์ในขณะนี้สามารถกล่าวได้ว่าทั้งหมดคือ โรงเรียนเตรียมเนติฯ เท่านั้น

นอกจากนี้ วาทกรรมกระแสหลักในแวดวงทางกฎหมายที่ยังคงเชื่อว่า ผู้ที่มีความสามารถทางด้านกฎหมายนั้น คือผู้ที่สอบผ่านเนติฯ ก็มีผลกดดันต่อการจัดทำหลักสูตรอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่ที่ธรรมศาสตร์. ปรีชา สุวรรณทัต ก็ได้กล่าวถึงความคาดหวังที่มีต่อตนเองในคราวเข้ารับตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์ว่า

"ผู้หลักผู้ใหญ่ของผมอาจารย์ที่ผมนับถือ แนะนำผมเป็นสิ่งแรกเลยบอกอาจารย์ปรีชา ทำอย่างไรจะให้นิติศาสตร์ของเราได้ที่ 1 เนติฯ ผมก้าวขาไม่ออกเลย เพราะฉะนั้นในปัจจุบันความคิดของท่านอาจารย์ในระดับนั้น ที่เรานับถือยังมองดูว่านิติศาสตร์ที่ไหนจะเก่งไม่เก่งวัดกันที่ตัวเนติฯ ที่ 1 หรือสอบได้มากสอบได้น้อย ปีไหนรามคำแหงได้ที่ 1 ชี้หน้าจุฬาฯ ชี้หน้าผม ทำไมรามฯ เขาได้ที่ 1 เขาวัดกันที่ตัวนี้ครับ"

4. ความอับจนของการศึกษากฎหมายไทย

ลักษณะของการศึกษากฎหมายไทยภายใต้บริบทที่กล่าวมามีผลกระทบต่อวงวิชาการนิติศาสตร์ไทยในประการสำคัญๆ ดังต่อไปนี้

หนึ่ง การตีความและการบังคับใช้กฎหมายแบบนิติอักษรศาสตร์ ในการใช้กฎหมายของนักกฎหมายส่วนใหญ่ มักเป็นไปด้วยการยึดตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ โดยไม่สนใจต่อการนำเอาเจตนารมย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการวินิจฉัย และก็ไม่คำนึงว่าการบังคับใช้กฎหมายนั้น จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมหรือไม่ หากยึดแต่เพียง "ความถูกต้องตามกฎหมาย" เท่านั้น

ที่เป็นปัญหารุนแรงกว่านั้นก็คือ การตีความโดยยึดกฎหมายที่ให้อำนาจแก่หน่วยงานของรัฐเป็นหลัก หรือตีความที่เป็นการลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน แม้จะมีกฎหมายที่ใหญ่กว่าให้อำนาจไว้ก็มิได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใด การลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย พ.ร.บ. หรือระเบียบของหน่วยงานรัฐในหลายเรื่องเป็นตัวอย่างของการตีความทำนองนี้

สอง ไม่ให้ความสนใจต่อการศึกษาค้นคว้าถึงแนวความคิดทฤษฎี ที่จะช่วยให้เกิดพลังในการวิพากษ์วิจารณ์หรือเกิดการตั้งคำถามใหม่ๆ ในทางวิชาการ ทำให้ไม่เกิดความเคลื่อนไหวหรือการโต้แย้งในประเด็นต่างๆ เช่น ความคิดแบบอิตถีศาสตร์ทางกฎหมาย (Feminist Legal Theory) มีส่วนอย่างมากต่อการวิเคราะห์ถึงความไม่เสมอภาคทางเพศในกฎหมาย อันเป็นผลให้นำไปสู่การสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น แนวความคิดแบบสัจนิยมทางกฎหมาย ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อการตัดสินของผู้บังคับใช้กฎหมายว่าดำเนินไปโดยมีอคติใดแอบแฝงอยู่หรือไม่

แต่สำหรับวิชานิติศาสตร์ไทย แนวความคิดต่างๆ เหล่านี้ปราศจากความหมาย เนื่องจากไม่ได้ช่วยให้ผู้เรียนกลายเป็น "นักกฎหมายที่เก่ง" ขึ้นมา อีกทั้งกลายเป็นวิชาไม่มีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพเลย

สาม ผลสืบเนื่องจากเหตุทั้งสองประการที่กล่าวมา ทำให้นิติศาสตร์ไทยไร้พลังในการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุที่การศึกษากฎหมายเพื่อมุ่งไปสู่การประกอบอาชีพนั้น มีธรรมชาติของการศึกษาในทิศทางที่ต้องจดจำและยึดเอาแนวทางคำอธิบาย การตัดสิน ที่ได้รับการยอมรับไว้เป็นสรณะในการวินิจฉัยข้อขัดแย้งต่างๆ

ลักษณะของการศึกษาเช่นนี้จึงเป็นการตอกย้ำ และรักษาสถานะของชุดความรู้ที่มีอยู่ให้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างชอบธรรม

เมื่อเผชิญกับสภาพปัญหาหรือการแก้ไขความขัดแย้งที่พ้นไปจากกรอบความรู้ที่เคยมี ทำให้นักกฎหมายไม่อาจให้คำตอบหรือปฏิเสธต่อความรู้ชุดใหม่นี้ ดังการเกิดขึ้นของแนวความคิดเรื่องสิทธิชุมชนในสังคมไทย นักกฎหมายที่แม้จะจัดเป็นหัวก้าวหน้าจำนวนมาก ก็ไม่อาจรับแนวความคิดนี้ได้ เพราะรากฐานแนวความคิดเรื่องสิทธิในกฎหมายมีเพียง สิทธิของรัฐ และปัจเจกชนเท่านั้น

ที่กล่าวมาเป็นเพียงความอ่อนแอเสี้ยวหนึ่งที่สืบเนื่องมาในวงวิชาการนิติศาสตร์ไทย และเมื่อได้เกิดความเฟื่องฟูในการศึกษานิติศาสตร์อันเป็นผลมาจากเงินที่ให้แก่ตำแหน่งผู้พิพากษาหรืออัยการ แรงผลักดันเช่นนี้มีแต่จะทำให้การศึกษากฎหมายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องถลำเข้าไปเป็นอาณานิคมของการศึกษาที่เน้นอาชีพมากยิ่งขึ้น 


และความตกต่ำในทางวิชาการของนิติศาสตร์ไทยก็คงยังจะดำเนินต่อไปอีกตราบนานเท่านาน
Read more ...

สรุปปรัชญาการเมืองตะวันตกสมัยใหม่ / ทศพร

3/1/53
ยุคกลางสิ้นสุดลง พร้อมกับ renaissance, reformation การค้นพบโลกใหม่ ทำให้คนยุโรปเห็นโลกกว้างขึ้น และยุโรปก็ขยายตัวไปยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะด้านการค้า และการเกิดของสถาบันกษัตริย์ที่มุ่งอำนาจอย่างเด็ดขาด

หลังยุคศักดินาในยุโรปตะวันตก สามสถาบันกษัตริย์ที่เข้มแข็ง คือในอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน ส่วนในเยอรมันยังเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยจำนวนมาก แต่ในอิตาลีเป็นนครรัฐที่มีความรุ่งเรือง โดยเฉพาะในทางเหนือ กษัตริย์ล้วนพยายามสร้างความเข็มแข็งด้วยการดึงอำนาจเข้าส่วนกลาง และกำจัดอำนาจของขุนนางหัวเมืองที่แข็งข้อ

การที่มนุษย์มีท่าทีอย่างใหม่ ต่อศาสนา ต่อตนเอง ต่อสังคมและโลกที่แวดล้อมตนเอง รวมทั้งต่อรัฐ ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ บวกกับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องอื่นๆ ทำให้เกิดเป็นยุคใหม่ที่เรียกว่า Renaissance หรือที่แปลได้ว่า "การเกิดใหม่" เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความคิดทางการเมืองในรูปแบบใหม่ ที่แตกต่างๆไปจากความคิดในยุคกลางเป็นอย่างยิ่ง

Machiavelli ชาวอิตาลี ในสภาพแวดล้อมที่แต่ละนครรัฐกำลังแข่งขันชิงดีกันในเรื่องอำนาจ แต่งหนังสือเรื่อง "เจ้า" ซึ่งมีเนื้อหาว่า ทำอย่างไรจึงจะได้มาซึ่งอำนาจ และจะรักษาอำนาจนั้นไว้ได้อย่างไร "เจ้า"จะต้องแกล้งแสดงตัวว่าเป็นคนดี ให้ความเอื้อเฟื้อ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินและภรรยาของลูกน้อง แต่ต้องพร้อมโจมตี ต้องคบพันธมิตรที่อ่อนแอกว่า ต้องให้คนกลัว ไม่ต้องรักก็ได้ พร้อมกับยกตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ให้เห็นเป็นหลักฐาน การที่จะเป็น"เจ้า"ที่เข้มแข็งได้ ต้องไม่คำนึงถึงศีลธรรมทางศาสนามากนัก รัฐที่จะเข็มแข็งต้องพร้อมทำสงครามเพื่อขยายตัว ไม่เช่นนั้นก็ต้องพร้อมเสื่อมสลายได้เลย ความเติบโตเป็นกฏของชีวิตทางการเมือง ซึ่งจะมามัวรักษาและแสวงหาอุดมคติไม่ได้

Machiavelli ไม่ได้สนใจที่จะหาเหตุผลและความชอบธรรมให้แก่การกระทำ แต่ต้องการความสำเร็จในการกระทำ "เจ้า"ต้องพร้อมใช้ศาสนาและศีลธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง และ"เจ้า"ต้องให้ความสนใจแก่พลเมือง ผู้มีความประสงค์จะได้รับความปลอดภัยและการคุ้มครอง เพราะนั่นคือพันธมิตรโดยธรรมชาติที่สำคัญของ"เจ้า" ไม่ใช่เหล่าขุนนาง

การปฎิรูปศาสนาโดย Luther, Calvin ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมาก สงคราม ๓๐ ปี เป็นปัจจัยประการหนึ่ง (๑๖๑๘-๑๖๔๘) การกดขี่บุคคลต่างศาสนา ฯลฯ ล้วนทำให้สถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจ-สังคมเปลี่ยนแปลงไป ค.ศ. ๑๖๔๘ มีการทำสนธิสัญญา Wesphalia ซึ่งในทางรัฐศาสตร์ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิด "รัฐชาติ" ในยุคใหม่นี้

อังกฤษ ค.ศ. ๑๖๔๒ - ๑๖๔๙ เป็นช่วงเวลาของสงครามกลางเมือง และจบลงด้วยการปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดิน สองปีหลังจากนั้น Hobbes แต่งหนังสือ "Liviathan" ซึ่งพูดถึงสภาวะธรรมชาติ สิทธิ์ตามธรรมชาติ และ การทำสัญญาสังคม

Hobbes มองเห็นว่าสถานการณ์ที่เพิ่งผ่านไปนั้น เป็นเหตุการณ์ร้ายแรง เกิดขึ้นเพราะสถาบันศาสนามีบทบาทโดยไม่มีข้อจำกัด ต้องให้สถาบันศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเมือง และให้องค์อธิปัตย์หรือกษัตริย์เป็นผู้มีสิทธิ์ตีความของศาสนาได้ แต่ต้องไม่ใช้พวกคลั่งศาสนา

ความคิดทางการเมืองของเขาคือ ในสภาวะธรรมชาติ ซึ่งไม่มีองค์อธิปัตย์จะมีแต่สงครามที่ทุกฝ่ายจะรบกันเอง ทุกคนมุ่งจะมีอำนาจเหนือคนอื่น และเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของตน ทุกหนแห่งมีแต่ความกลัว และยิ่งน่ากลัวคือทุกคนเท่าเทียมกัน ในอันที่จะต้องตายด้วยกันได้ทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิ์นี้กันโดยธรรมชาติ แต่แล้วกฏธรรมชาติข้อแรก ก็ทำให้ทุกคนมีความคิดอันมีเหตุผลเกิดขึ้นมา ให้คิดหาสันติภาพ ซึ่งจะทำให้ทุกคนปลอดภัยได้ และก็ทำได้ด้วยการตกลงระหว่างกันว่า จะยกสิทธิ์ตามธรรมชาตินี้ (ยกเว้นสิทธิในชีวิตของตน) ให้แก่องค์อธิปัตย์ และการที่ทุกคนรักษาสัญญานี้ก็เป็นกฏธรรมชาติอีกข้อหนึ่ง แต่ข้อตกลงโดยไม่มีดาบบังคับก็เหมือนลมพัด ทุกคนจึงยอมให้องค์อธิปัตย์นั้นใช้กำลังบังคับได้อย่างเต็มที่ การยอมเช่นนี้ไม่ใช่ข้อบังคับโดยกฏหมาย แต่เป็นความมีเหตุผลต่างหาก (คู่สัญญาในสัญญาของHobbesนี้เป็นศัตรูกันมาก่อน)

องค์อธิปัตย์ของ Hobbes เป็นผู้ออกกฏหมาย (ยกเว้นที่เป็นกฏหรือสิทธิ์โดยธรรมชาติ) มีอำนาจเด็ดขาดในทุกเรื่อง (ยกเว้นเช่นสั่งให้พลเมืองฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นการขัดกับวัตถุประสงค์ของสัญญา หรือพลเมืองมีสิทธิ์ขัดขืนไปไม่รบในกองทัพ)

หลังจากนั้นไม่นาน ยุโรปก็กลับคืนสู่สันติภาพ รวมทั้งในอังกฤษด้วย ๑๖๖๐ อังกฤษมีกษัตริย์อีก ฝรั่งเศสทำสัญญาสันติภาพกับสเปน ๑๖๕๙ และ ๑๖๖๑ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ขึ้นครองราชย์ และโดยทั่วไป ไม่มีการกดขี่ในทางศาสนาอีกมากแล้ว ยกเว้นในฝรั่งเศสระยะหนึ่ง เมื่อมีสันติภาพ การทำมาค้าขายก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการค้าขายกับต่างประเทศ (+การแสวงหาอาณานิคม)

ศาสนาในฮอลแลนด์ ค่อนข้างมีความใจกว้าง (tolerant) กว่าที่อื่น หากแต่เพราะว่า Spinoza เกิดในครอบครัวชาวยิว เขาจึงมีปัญหาอยู่ แต่หลักปรัชญาของเขาก็คือ มีพระเจ้าอยู่ทุกแห่งหน (pantheism) ในความคิดทางการเมือง Spinoza ก็ได้รับอิทธิพลจาก Hobbes อยู่ และเขาก็พูดถึงกำเนิดรัฐบนรากฐานของข้อตกลงระหว่างสมาชิกของสังคม ที่จะโอนสิทธิ์โดยธรรมชาติของเขาให้แก่รัฐ เพื่อให้ออกกฏหมายและบังคับใช้ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน แต่สิทธิ์ที่จะมีความคิดเห็นโดยอิสระและที่จะตัดสินยังคงอยู่ที่แต่ละคน ในแง่ของรูปแบบการปกครอง Spinoza ออกจะเห็นว่า การปกครองแบบ aristocracy มีประสิทธิภาพในการรักษาอิสระของสมาชิกแต่ละคนได้ดีกว่าแบบราชาธิปไตย และได้พูดถึงโครงสร้างหน้าที่ของการปกครองทุกรูปแบบค่อนข้างละเอียด

ปรัชญาการเมืองของ สปิโนซา 

(สรุปความจาก Tractus Theologica-Politicus 1670)

กฎธรรมชาติมีความสำคัญเช่นเดียวกับอำนาจธรรมชาติ สิทธิโดยธรรมชาติของธรรมชาติทั้งหมด มีเท่าที่อำนาจธรรมชาติไปถึง

ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนโดยธรรมชาติเขาก็จะมีสิทธิทำทุกอย่างได้ เท่าที่เขาจะมีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น สิทธิของเขาถูกกำหนดโดยอำนาจของเขาเอง และโดยไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการ เครื่องมือ มนุษย์ทุกคนจะทำอะไรก็ได้ ตามที่อยู่ในอำนาจเขา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเขาเอง

การก่อตัวของรัฐ/ สังคม เกิดขึ้นบนพื้นฐานของข้อตกลงระหว่างมนุษย์ด้วยกัน สิทธิและอำนาจของเขาก็จะถูกโอนให้รัฐ/ สังคมด้วย รัฐบาลเป็นผู้ใช้สิทธิโดยส่วนรวมนี้ ในการออกกฏหมาย บีบบังคับใช้กฏหมาย ตัดสินใจเรื่องสงครามหรือสันติภาพ ฯลฯ

มนุษย์แต่ละคนก็จะมีสิทธิโดยธรรมชาติ เพียงเท่าที่สิทธิ์ส่วนรวมจะยอมให้เขามีได้ และถึงแม้เขาได้ให้สิทธิ์นั้นไปแก่รัฐแล้ว (สิทธิ์สูงสุดในการที่จะทำอะไรก็ได้) แต่เขาก็ไม่ได้ให้สิทธิ์ที่จะคิดโดยอิสระ และตัดสินใจเอง ไปด้วย ฉะนั้น เขาจึงยังด่าว่า/ ตัดสิน และประนาม รัฐบาลว่าเลว ผิดเป้าหมายได้ หากว่ารัฐบาลไม่สามารถรับรองสิทธิ์ที่จะแสดงออกได้อย่างเสรี คิดและตัดสินใจได้อย่างอิสระ

แม้จะมีรัฐแล้วก็ตาม แต่สภาวะธรรมชาติก็ไม่ไสูญสิ้นไปด้วย แต่การมีรัฐกลับจะทำให้สภาวะที่จะคิดเองได้เช่นนั้นคงอยู่ได้ต่อไป เป็นเพราะว่า รัฐให้ความปลอดภัย ให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รัฐทำให้มนุษย์พัฒนาต่อไป

ทั้งนี้สะท้อน ๒ ความคิดสำคัญของสปิโนซา เรื่อง อิสรภาพ และ ความจำเป็น กล่าวคือ มนุษย์สามารถเป็นอิสระได้ ต่อเมื่อเขามีเหตุผล ที่จะทำไปตามความจำเป็น

และเมื่อมนุษย์มีเหตุผล และเห็นความจำเป็นของการกระทำของเขา เขาก็จะเคารพเชื่อฟังกฏหมาย ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของเหตุผล และผลประโยชน์ของทุกคนในสังคม (=จำเป็น)

แต่ต้องยอมรับว่า มนุษย์มีอารมณ์/ความรู้สึกด้วยไม่มากก็น้อย แล้วก็มีพฤติกรรมตามนั้นด้วย รัฐจะคงอยู่ได้ ต้องมีพฤติกรรมจากเหตุผล และอารมณ์ด้วยกัน รัฐคงจะอ่อนแอลง ถ้าเอาการกระทำด้วยเหตุผล เป็นมาตรฐานของสมาชิกไปเสียทุกกรณี

เราต้องเชื่อฟังรัฐ เพราะมอบอำนาจให้ไปแล้ว รัฐเองก็ไม่มีทางทำอะไรผิด ถูก-ผิด ไม่ยุติธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระหว่างพลเมืองด้วยกัน (หรือผู้ที่มีหน้าที่แทนรัฐบาล??) แต่พลเมืองสามารถบอกเลิกสัญญากับรัฐได้ เมื่อทุกคนหรือส่วนมากมองเห็นว่า รัฐไม่มีประโยชน์อีกแล้วต่อตน โดยการบอกเลิกสัญญานั้น ต้องชั่งเอาระหว่างผลประโยชน์หรือผลเสียจากการมีสัญญาต่อกัน (แปลว่า การเมืองจะต้องดำเนินไปเพื่อผลประโยชน์อันมีเหตุผลของพลเมือง การเมืองต้องทำให้พลเมืองเห็นประโยชน์จากการทำตามเหตุผล-กฏระเบียบ มากกว่าผลประโยชน์ของตนอย่างตื้นๆ) (มนุษย์มักมีความหยิ่ง คิดว่า ตนเองรู้ดีกว่าใครๆ)

สปิโนซายอมรับด้วยว่า ธรรมชาติทำให้มนุษย์เป็นศัตรูกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และที่น่าวิตกสำหรับความมั่นคงของรัฐ คือศัตรูจากภายใน มากกว่าศัตรูจากภายนอก (เขายกตัวอย่างประวัติศาสตร์โรมัน)

เกี่ยวกับรูปแบบของรัฐ สปิโนซาว่ามี ๓ แบบ คือ ประชาธิปไตย (อำนาจตัดสินใจมาจากที่ประชุมที่เลือกจากประชาชนทั้งหมด) อำมาตยาธิปไตย (aristocracy) (อำนาจตัดสินใจมาจากกลุ่มบุคคลผู้ได้รับเลือกแล้ว) และ ราชาธิปไตย (อำนาจตัดสินใจมาจากบุคคลคนเดียว)

สปิโนซาอธิบายว่า ในการปกครองแบบราชาธิปไตยนั้น อาจเกินความสามารถของคนคนเดียวก็ได้ น่าต้องมีคณะที่ปรึกษาและคนไว้ใจช่วยด้วย อาจเป็นที่ประชุมของเผ่า หรือในระบบครอบครัวก็ได้ และสมาชิกในคณะนั้นน่าจะต้องอยู่ในตำแหน่งไม่เท่ากัน เพื่อจะได้มีคนที่มีประสบการณ์ร่วมประชุมอยู่ด้วยเสมอ ถ้าพระราชาฟังคณะที่ปรึกษา เอาเหตุผลในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม พระราชาพระองค์นั้นก็จะมีอำนาจมาก (เพราะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน)

ฝ่ายตุลาการต้องเป็นองค์กรอิสระ สมาชิกต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติว่า มีเหตุผลเหนืออารมณ์

สปิโนซามีความเห็นว่า การปกครองแบบอมาตยาธิปไตยดีกว่าการปกครองแบบอื่นในการรักษาอิสรภาพของพลเมือง สำหรับอาณาจักรขนาดกลาง เห็นว่า"สภาผู้ได้รับเลือกแล้ว" น่าจะมีสมาชิกประมาณ ๕ พันคน จำนวนนี้สามารถตัดสินใจแทนประชาชนได้เลย ถ้าน้อยกว่านี้ก็จะทำให้อำนาจตกอยู่กับคนกลุ่มน้อยเท่านั้น สภาฯนี้ทำหน้าที่นิติบัญญัติ

สปิโนซาเสนอให้มีอีกสภาหนึ่งทำหน้าที่ควบคุมดูแล "สภา ๕ พัน" โดยมีสมาชิกที่อยู่ในตำแหน่งตลอดชีพ และมีจำนวนไม่มาก ทำหน้าที่คล้ายเป็นศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ให้มี senate ทำหน้าที่บริหาร แต่การทำงานจริงๆในแต่ละเรื่องให้มีคณะกรรมาธิการและ "ข้าราชการ" ซึ่งเป็นมืออาชีพเป็นผู้ดำเนินงาน

การปกครองแบบอำมาตยาธิปไตยนี้เหมาะกับเมืองอิสระ (ทำนอง city state) ซึ่งมีมากในยุคนั้น นอกจากนี้ สปิโนซายังเสนอให้มีการรวมหลายๆนครรัฐเป็น "สหพันธรัฐ" ด้วย

ส่วนการปกครองแบบประชาธิปไตย ประเด็นอยู่ที่ว่า คนส่วนใหญ่มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ในทางปฏิบัติ ทาสและผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ (สปิโนซาไม่เชื่อในความเท่าเทียมกันของมนุษย์อยู่แล้ว) และสิทธิในการออกเสียงก็ยังขึ้นอยู่กับอายุ และภาษีที่จ่าย

(สรุปความจากหนังสือ Hauptwerke der politischen Theorie โดย Theo Stammen, Gisela Riescher และ Wilhelm Hofmann สำนักพิมพ์ Alfred Kroener เมือง Stuttgart พิมพ์ปี 1997)

Locke เป็นนักคิดที่ความคิดและงานเขียนของเขา "Treatises of Government" (๑๖๙๐) มีอิทธิพลต่อพัฒนาการและเหตุการณ์ทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Enlightenment ของฝรั่งเศส และการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา

ในทัศนะของ Locke มนุษย์เป็นสัตว์สังคมและสามารถมีเหตุผลได้ เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติที่ไม่มีอำนาจร่วมส่วนกลางคอยดูแล ก็รู้ได้ว่าไม่ปลอดภัย แต่เหตุผลก็บอกได้ด้วยว่า ต้องยอมรับสิทธิ์โดยธรรมชาติว่า แต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิต แสวงหาทรัพย์สิน และมีอิสรภาพได้เสมอกัน และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องสิ่งเหล่านี้ โดยที่ข้อขัดแย้งและความไม่ยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้แน่ และสภาะธรรมชาติก็จะกลายเป็นสภาะสงครามได้โดยง่าย ความมีเหตุผลของมนุษย์ทำให้มนุษย์ตกลงที่จะสร้าง "ชุมชน" ขึ้น และโอนสิทธิ์โดยธรรมชาติในการปกป้องสิทธิ์ของตนนี้ให้แก่อำนาจร่วมส่วนกลาง โดยที่รูปแบบจะเป็นอย่างไรนั้นจะได้ตกลงกันในระบบเสียงข้างมากต่อไป ไม่ใช่ว่า "รัฐบาล"จะทำสัญญากับพลเมือง แต่พลเมืองมอบฉันทะให้รัฐบาลไปทำหน้าที่ปกป้องสิทธิ์อื่นๆที่ยังมีอยู่ของประชาชนต่อไป รัฐบาลมีหน้าที่อันจำกัด หากรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ หรือทำไม่ถูกต้อง ประชาชนในชุมชนจะกลับมาพิจารณาใหม่ว่า จะยังคงให้รัฐบาลทำหน้าที่ต่อไป หรือเปลี่ยนรัฐบาล ทุกอย่างดำเนินไปในระบบเสียงข้างมาก ในรูปแบบการปกครอง Locke ได้เสนอเรื่องการแบ่งแยกอำนาจไว้ด้วย และให้ความสำคัญแก่ฝ่ายนิติบัญญัติมากกว่า รัฐ ในทัศนะของ Locke เป็นนิติรัฐโดยแท้

ประเด็นที่น่าสนใจในงานของ Locke อีกประเด็นคือทัศนะของเขาต่อเรื่อง "ทรัพย์สิน" ซึ่งมีความหมายกว้างขวาง ตั้งแต่เป็นวัตถุ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ตลอดไปจนการมีอิสระในความเชื่อทางศาสนา (สำหรับ Locke เรื่องของศาสนาและความเชื่อ จัดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว) สิ่งเหล่านี้เขามองเห็นว่า เป็นหน้าที่หลักของรัฐที่จะต้องปกป้อง แม้ว่า Locke จะระบุว่า มนุษย์มีสิทธิ์โดยธรรมชาติที่จะแสวงหาทรัพย์สินมาครอบครอง แต่ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดว่า ต้องไม่มากเกินจำเป็น เกินกว่าจะบริโภคหรือใช้สอยได้ หรือไม่เกินจนกระทั่งไม่เหลือสำหรับคนอื่น แต่เมื่อทรัพย์สินแปลงสภาพเป็นเงินตราแล้ว Locke ก็ไม่ได้ขัดขวางว่า มนุษย์จะสะสมเงินตราไม่ได้ เพราะเงินตราไม่ได้เน่าเสียอย่างอาหาร และเพราะมูลค่าของเงินตราเป็นสิ่งที่ได้มีการตกลงกัน

ยุโรปในคริสตศตวรรษที่ ๑๘ อยู่ในยุคที่เรียกว่า Enlightenment (ยุคที่มนุษย์บรรลุถึงจุดสูงสุดทางปรัชญา โลกสว่างไปด้วยความคิด ความเข้าใจอันมีเหตุและผล ความจริง และเหตุผลสำคัญที่สุดต่อทุกชีวิต สถาบันกษัตริย์ของยุคนี้มีส่วนส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา ตลอดจนศิลปวิทยาการ จักรพรรดิ์แห่งออสเตรีย โจเซฟที่ ๒ (๑๗๖๕-๑๗๙๐) ปรับปรุงประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน เลิกระบบทาสติดที่ดิน การสอบสวนด้วยวิธีทารุณ และโทษประหาร จักรพรรดินีคาธารินาแห่งรัสเซีย (๑๗๖๒-๑๗๙๖) ต้อนรับนักปราชญ์จากทั่วยุโรป และนำรัสเซียสู่ความเป็นศิวิไลซ์มากเท่าที่จะทำได้ พระเจ้าฟรีดิชมหาราชแห่งปรัสเซีย (๑๗๔๐-๑๗๘๖) ให้ความสนับสนุนวอลแตร์และนักปราชญ์อื่นๆ พระองค์เองก็นับว่าเป็นปราชญ์คนหนึ่ง แต่ในทางทฤษฎีมากกว่าในทางปฏิบัติ ในขณะที่ราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ มีความ enlightened ในทางปฏิบัติมากกว่าในทางทฤษฎี นักปราชญ์สนใจศึกษาค้นหาความจริง ด้วยการสังเกต และทดลอง เสรีภาพทางการเมืองของประชาชนได้รับการอุ้มชูเป็นพิเศษ มีการท้าทายอำนาจของผู้ปกครองจากฝ่ายที่ถูกปกครองทั้งทางตรง(ในชีวิตการเมือง) และทางอ้อม(ในงานเขียนทางปรัชญา) เสรีภาพในความคิดและการแสดงออกเป็นสิ่งที่ยอมรับได้โดยทั่วไป แม้แต่ในประเทศที่เคร่งศาสนาและออกจะล้าหลังไปหน่อยสำหรับยุโรปอย่างสเปน พระเจ้าชาลส์ที่ ๓ (๑๗๕๙-๑๗๘๘) ก็นับว่าเป็นกษัตริย์นักปฏิรูปพระองค์หนึ่ง

Hume เป็นตัวแทนที่โดดเด่นของ Enlightenment ของสก๊อตแลนด์ นอกจากงานชิ้นสำคัญของเขาเรื่อง Treatise of Human Nature แล้ว เขายังได้เขียนบทความเกี่ยวกับการเมืองไว้หลายเรื่อง ในที่นี้ขอสรุปแนวคิดบางประการของเขาไว้เป็นข้อๆ ดังนี้

๑. ยากที่จะให้คำจำกัดความแก่ "มนุษย์" เพราะมนุษย์มีความหลากหลาย และ flexible มาก แรงจูงใจให้มนุษย์กระทำการต่างๆลงไปนั้น ไม่ใช่เหตุผลและความเข้าใจ แต่เป็นอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งมีธรรมชาติที่ซับซ้อนและขัดแย้งกัน ในแง่หนึ่งเหมือนว่ามนุษย์จะพัฒนาจนมีแนวโน้มอยู่กับสังคมและชุมชน สามารถเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ มีความรัก ความกตัญญู ความสงสารได้ แต่อีกแง่หนึ่ง มนุษย์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นแก่ตัว พอที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ของตน เป็นสิ่งมีชีวิตที่"เน่าเละ"แล้ว และเพียงเพื่อความพอใจของตนแม้ในระยะสั้น มนุษย์ก็พร้อมที่จะทำลายเพื่อนมนุษย์แล้ว หรือมีอิสระที่ไม่มีขีดจำกัดและมีอำนาจเหนือคนอื่นๆ

๒. แต่ที่จริง สังคมก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีอำนาจรัฐ สังคมเริ่มต้นที่ครอบครัว และการอยู่ร่วมกันก็เริ่มที่การแบ่งงานกันทำ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่เมื่อมีเรื่องทรัพย์สินเข้ามาเกี่ยวข้อง อำนาจรัฐก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น (รัฐเป็นผลิตผลจากการทำสัญญา น้อยกว่าการเป็นผลิตผลจากการมีทรัพย์สิน) ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นตัวอธิบายความมีศีลธรรมของมนุษย์ แต่ที่เรานึกว่าเป็นเรื่องของเหตุผลนั้น ก็เพราะว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเข้าใจและมองความเคยชินว่าเป็นเหตุผล

๓. หน้าที่สำคัญที่สุดของรัฐ คือการสร้างกฎหมายที่ยุติธรรมและมีผลบังคับใช้ทั่วไป กฎหมายซึ่งแม้จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์จะต้องสามารถกำหนดสิทธิ์การครอบครองทรัพย์สินตามกฎหมายและการใช้ทรัพย์สินนั้นได้ การลงโทษ และความกลัวว่าจะได้รับโทษจะทำให้มนุษย์เกิดการยับยั้งชั่งใจไม่ทำตามสัญชาติญาณของตน และนำไปสู่การทำตามกฎหมาย ตลอดจนการเคารพในทรัพย์สินของคนอื่น และในที่สุด ความเป็นห่วงต่อความสงบสุขส่วนรวมก็จะมาแทนที่ความโลภจากความเห็นแก่ตัว และสิ่งนี้จะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมในสังคมเดียวกันได้

๔. ด้วยการจัดให้มีสถาบัน (institutionalisation)การปกครองกลาง ความอยากแสดงอำนาจเหนือคนอื่นโดยธรรมชาติก็จะแสดงออกได้ในรูปแบบของการเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจได้(ตามกฎหมาย) ในฐานะดูแลผลประโยชน์อย่างเป็นกลางในเรื่องความยุติธรรม แต่สิ่งนี้ต้องใช้เวลานานในกระบวนการทางประวัติศาสตร์

Montesquieu เป็นนักทฤษฎีการเมืองที่สำคัญที่สุด(ของฝรั่งเศส)ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ งานชิ้นสำคัญของเขาคือ "หัวใจแห่งกฎหมาย" (De l'Esprit des Loix) แนวคิดของเขาประการหนึ่งคือ รัฐที่จะมีความเข้มแข็งและมั่นคงจะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพภูมิอากาศ โครงสร้างทางภูมิศาสตร์ ลักษณะประจำชาติของพลเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และการศึกษา เป็นต้น เขาได้แบ่งรัฐต่างๆเป็น ๓ ประเภทตามสภาพอากาศ ขนาดพื้นที่และลักษณะการปกครอง กล่าวคือ (Despotie) เป็นรัฐขนาดใหญ่ ในภูมิอากาศเขตร้อน และปกครองด้วยความกลัว รัฐ "ราชาธิปไตยผสม" เช่นอังกฤษ เป็นรัฐขนาดกลาง ในดินแดนเขตอากาศอบอุ่น และปกครองด้วยเกียรติ ส่วนสาธารณรัฐ (republic) เป็นรัฐขนาดเล็ก ในดินแดนที่มีอากาศหนาวเย็น และปกครองด้วย คุณธรรมของประชาชน (แม้ว่าวิธีคิดเช่นนี้จะไม่ตรงกับหลักเหตุผลสากลก็ตาม แต่ Montesquieu ก็ไม่สนใจ)

รัฐแบบสาธารณรัฐจะไปได้ดีก็ต่อเมื่อประชาชน (democracy) หรือชนชั้นปกครอง (aristocracy) ยอมรับระเบียบของรัฐธรรมนูญ จะด้วยความเคยชินหรือความรักในความเสมอภาคก็ตาม และยกผลประโยชน์ส่วนรวมไว้เหนือผลประโยชน์ส่วนตัว การกระทำเช่นนี้ได้เรียกว่าเป็น "คุณธรรมของประชาชน"

เขาได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพ (ทำได้ในสิ่งที่อยากทำ และไม่ต้องถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ) ในรัฐแบบสาธารณรัฐเกิดได้พร้อมกับการควบคุมตัวเอง (ซึ่งเป็นคุณธรรมของประชาชน) ในขณะที่ในรัฐแบบราชาธิปไตยเกิดได้ด้วยอำนาจ (ที่จะคอยดูแลและ"เบรก"กันเอง)

"หลายสิ่งควบคุมมนุษย์อยู่ หรือมีผลต่อสภาวะจิตของมนุษย์ เช่น ภูมิอากาศ ศาสนา กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ประสบการณ์ประวัติศาสตร์ ประเพณี และความเคยชิน" สภาวะจิตและประเพณีอันสืบเนื่องจากสภาวะจิตนี้นั้นเป็นตัวกำหนดความต่อเนื่องของสังคมที่ดำเนินไปอย่างช้าๆแต่มั่นคง ในสังคมที่มีระเบียบดี สวาวะจิตนี้จะกำหนดรูปแบบของรัฐธรรมนูญ และพฤติกรรม ตลอดจนวิธีคิด วิธีรับรู้และอธิบายประสบการณ์ในโลกของสมาชิกในสังคมนั้นอีกที

Montesquieu มองการค้าขายว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของสังคมยุคใหม่ การขยายตัวทางการค้าถือได้ว่าเป็นข้อดี แม้ว่าจะมีข้อเสียอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ข้อดีคือความร่ำรวย ความอุดมสมบูรณ์ และข้อดีคือ การค้าทำให้ชาติที่ค้าขายร่วมกันต้องพึ่งพากัน (interdependent) และนั่นคือหนทางสู่สันติภาพ ส่วนข้อเสียคือ จริยธรรมมักจะต้องหลีกทางให้กับการค้าเสมอ และถึงแม้ Montesquieu จะพูดถึงการค้า ระบบเงินตรา หรือนโยบายประชากร แต่เป้าหมายสำคัญที่เขาสนใจคือ ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและมนุษย์ ในบริบทที่ว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความแตกต่างของสังคม ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเหมือนกันตรงความที่มีเหตุผลก็ตาม

การแบ่งแยกและการคานอำนาจ เป็นผลงานที่ Montesquieu ขยายจากคำอธิบายของ Locke และได้กลายเป็นคุณลักษณะสำคัญในรัฐธรรมนูญสมัยใหม่โดยทั่วไป เริ่มที่รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา การศึกษาสภาวะจิตของประชาชนและความสัมพันธ์กับสถาบันการเมืองกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ และการศึกษาปัจจัยทางสังคมกับพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาสังคมวิทยาการเมืองสมัยใหม่

ในงานชื่อ "Du Contrat Social" ของ Rousseau ได้มีการพัฒนาทฤษฎีการเมืองขึ้นเพื่อทำให้กระฎุมพี (bourgeois) ที่เห็นแก่ตัวและมีบาปกลายเป็นพลเมืองของรัฐ (citizen) ที่มีคุณธรรม และเคารพกฎหมาย

มนุษย์ (man is born free) แต่ต่อมาได้ถูกสังคมพันธนาการไว้ แต่ปล่อยมนุษย์กลับคืนสู่ธรรมชาติ มนุษย์จะมีความสุขมาก แม้ในความป่าเถื่อนนั้น (return to nature) แต่ตอนนี้ มนุษย์ไม่มีอิสรภาพ ถูกกดขี่ และไม่ได้รับความยุติธรรม

เมื่อเกิดสังคมขึ้นมาแล้ว จะกลับสู่ธรรมชาติก็ไม่ได้ มาสร้างสังคมให้ดีขึ้นดีกว่า ด้วยการทำสัญญาตกลงจัดตั้งอำนาจรัฐขึ้น ด้วยความยินยอมพร้อมใจของทุกคน สะท้อนถึงการมีเจตน์จำนงร่วมกัน (general will) การทำสัญญานี้ ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะต้องเสียเสรีภาพ หรือสละเจตน์จำนงคร่วมนี้ให้แก่องค์อธิปัตย์ไป แต่มอบเสรีภาพให้แก่ชุมชนเป็นส่วนรวม และชุมชนแบ่งแยกไม่ได้ ก็คือ general will ทุกคนต้องต้องให้ความเคารพ ซึ่งก็คือ Will ของตนเองนั่นเอง (ในทางปฏิบัติ คือ มติมหาชน)

รัฐเป็นการรวมตัวของมนุษย์เข้าเป็นสังคมการเมือง รัฐมีอำนาจสูงสุด แทน general will รัฐบาลเป็นเพียงตัวกลาง ทำหน้าที่ระหว่างรัฐและประชาชน อำนาจการออกกฎหมายเป็นของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาล เพื่อประชาชนแสดงเจตน์จำนงอย่างเสรีและเต็มที่

คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ มีการเปลี่ยนแปลงมากในหลายๆทาง ปฏิวัติฝรั่งเศสในค.ศ. ๑๗๘๙ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทั้งทางสังคม และการเมือง สังคมเก่าถูกสั่นคลอน และมีความพยายามในการรักษาสถานภาพเดิมของตนไว้ พลังใหม่ในสังคมก็ต่อสู้เพื่อการปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น แต่แล้วนโปเลียนก็เกิดขึ้นมามีอำนาจ และทำให้โลกยุโรปสั่นคลอนอีกครั้งด้วยสงคราม ท้ายที่สุดชาติต่างๆก็ต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อสันติภาพ และการรักษาสถานะเดิมของตน

"ข้อคิดไตร่ตรองเรื่องการปฏิวัติในฝรั่งเศส" ของ Burke เป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ในเวลาที่หนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่นั้น การปฏิวัติฝรั่งเศสยังไม่สิ้นสุด (ซึ่งทำให้การประเมินอย่างเป็นวิชาการเป็นไปไม่ได้) แต่อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์นิยมถือว่า แนวความคิดในหนังสือเล่มนี้เป็นทฤษฎีการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมต้นฉบับเลยทีเดียว

Burke ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกว่า "พลิกแผ่นดิน" โดยเฉพาะด้วยการใช้กำลัง เขาให้ความสำคัญกับประเพณี สิ่งที่ถ่ายทอดกันมาจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ด้วยการสะสมประสบการณ์และการเลือกสรรแล้วของประวัติศาสตร์ ที่จริงเขาเองก็ไม่ได้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ("รัฐซึ่งไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลง ก็จะเป็นรัฐที่ไม่มีโอกาสอยู่รอดได้") หากแต่เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนั้น ต้องควรมาจากสถานการณ์ที่ไม่เป็นการเมือง แต่ควรจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ผ่านการกลั่นกรองด้วยประสบการณ์ในระยะเวลานานพอสมควร

การตัดสิน หรือประเมินทางการเมืองที่ดีนั้น ไม่จำเป็นต้องมาจากเหตุผลแต่อย่างเดียว หรือมาจากเหตุผลเป็นหลักใหญ่ แต่ควรมาจากความฉลาดในประสบการณ์ชีวิต ซึ่งสะสมมาในสถานการณ์ต่างๆ และความฉลาดเช่นว่านี้ ไม่ได้มาจากบุคคลคนเดียว แต่จะเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติที่ถ่ายทอดต่อกันมา หรือสะท้อนสถาบันในลักษณะที่เป็นประสบการณ์ร่วม (collective) ของบุคคลที่มีศักยภาพในการตัดสินใจทางการเมือง แม้ว่าประสบการณ์เหล่านี้จะไม่อาจมอบให้ได้โดยตรงเหมือนเป็นมรดก แต่เราก็จะหาได้ไม่ยากในบุคคลซึ่งเติบโตมาในครอบครัวซึ่งอยู่ในแวดวงของผู้มีประสบการณ์เช่นนั้น (คือในหมู่ชนชั้นปกครอง)

สังคมไม่ใช่การอยู่ร่วมกันโดยบังเอิญของคนจำนวนหนึ่งในสถานที่หนึ่งและในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่บุคคลเหล่านี้ยังจะต้องมีวัฒนธรรมร่วมกัน คิดเห็นหรือเชื่อมั่นไปในทำนองเดียวกัน มีศีลธรรม มีภาษาเป็นเครื่องมือที่จำเป็นของความคิด และมีรสนิยม ความรู้สึกผูกพัน ทั้งนี้ด้วยเหตุที่เขาเหล่านี้อยู่ร่วมกันในสังคมนั้น สังคมไม่ใช่แค่สมาคม ที่แค่มาพบกันด้วยเรื่องสรรพเพเหระ แต่สังคมต้องสามารถสร้างเอกลักษณ์ทางสังคมให้แก่มนุษย์ มนุษย์ซึ่งโดยลักษณะพร้อมจะอยู่เป็นสังคม

ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นั้นได้มีการพัฒนาทางสังคมหลายประการ ปรากฏการณ์ที่เด่น คือการเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาใช้ในทางการผลิต จนมีการปฏิวัติอุตสาหรรมเป็นครั้งแรกในอังกฤษ ผู้คนในคริสต์ศตวรรษนี้จึงสามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและสังคมได้เต็มที่ เกิดเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม การผลิตและการเอารัดเอาเปรียบรุนแรงขึ้น สังคมชนบทล่มสลาย สังคมเมืองเกิดขึ้นพร้อมด้วยปัญหาต่างๆนานา ทฤษฎีของชาร์ล ดาร์วินท้าทายคำสอนทางศาสนาอย่างยิ่ง และทำให้คนมีข้ออ้างในการเอารัดเอาเปรียบ ลัทธิ"ตัวใครตัวมัน" รุ่งเรืองขึ้น แต่ก็มีหลายคนที่เห็นว่า ปรากฏการณ์นี้ต้องแก้ไข

ในแนวความคิดทางการเมืองของกลุ่ม "อรรถประโยชน์นิยม" (utilitarianism) เรามีตัวแทน ๓ คนที่โดดเด่น คือ Bentham เป็นผู้เริ่มต้นแนวคิดนี้ James Mill ผู้พ่อ ซึ่งได้ทำงานร่วมกับ Bentham มาก่อน และเป็นนักปฏิบัติมากกว่า และ John Stuart Mill ผู้ลูก ซึ่งสร้างทฤษฎีไว้อย่างละเอียดและเป็นนามธรรมที่สุด

ความสนใจหลักของ Bentham คือการปฏิรูปกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายอาญา และต่อมาที่เขาสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เขาเริ่มต้นด้วยการโจมตีว่า สัญญาสังคมไม่มีและไม่เคยมี (ที่พูดกันมาก่อนนั้น เป็นเพียงการใช้ตรรกะเท่านั้น) และถึงมี ก็ไม่น่าสนใจหรือไม่มีผลกับคนในรุ่นหลังๆ เรื่องสิทธิ์โดยธรรมชาติก็เป็นเรื่องไร้สาระ สิทธิ์ที่จะมีได้เป็นเรื่องของกฎหมายที่องค์อธิปัตย์ให้ร่างขึ้น และใช้บังคับเอาด้วยการขู่ว่าจะมีการลงโทษ ถ้าไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายต้องมีความชัดเจน และควรมีที่มาที่ชัดเจน จนประชาชนพร้อมที่จะปฏิบัติตาม ในกรณีดังกล่าว Bentham โจมตีว่า Common Law เป็นเรื่องสับสนไม่มีเหตุผล เป็นประโยชน์แก่พวกทนายเท่านั้น แต่ไม่ใช่ประชาชนโดยส่วนรวม ถึงเวลาที่ควรจะมีระบบกฎหมายที่จัดระเบียบออกมาใหม่ ซึ่งควรเป็นไปตามหลักการประโยชน์ใช้สอย และจะต้องสนองประโยชน์สูงสุดของคนจำนวนมากที่สุดได้ด้วย (เช่น การลงโทษก็ต้องเป็นไปเพื่อให้ได้ประโยชน์แก่ส่วนรวมมากที่สุด)

ส่วน James Mill ให้ความสนใจในการวิเคราะห์แรงจูงใจของมนุษย์สำหรับการกระทำต่างๆ ในมิติของหลักประโยชน์ และพบว่า ทุกอย่างมาจากความต้องการสนองความพอใจ และเพื่อหลีกจากความเจ็บปวด-ไม่พอใจ และสมาชิกของชนชั้นปกครองก็ได้ใช้หลักการนี้เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองกับคนในปกครองของตน เขาได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงระบบรัฐสภา ให้มีการเลือกตั้งทั่วไปและในทางลับ กับให้มีการเลือกตั้งทุกๆปี แต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้เรียกร้องสิทธิ์เลือกตั้งให้แก่สตรีด้วย เพราะเห็นว่าเพียงพอแล้ว ที่บิดาหรือสามีจะใช้สิทธิ์นั้นแทน

ในงานที่ชื่อ "ว่าด้วยเสรีภาพ" John S. Mill พูดถึงเสรีภาพของประชาชนและเสรีภาพทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรม เสรีภาพซึ่งในยุคแรกถูกรุกรานด้วยการใช้อำนาจของผู้ปกครอง ทำให้ต้องสังคมต้องหาทางปกป้องด้วยกฎหมายหรือสถาบันต่างๆ ซึ่งก็เป็นผลดีมาระยะหนึ่ง แต่ในปัจจุบัน (ค.ศ. ๑๘๕๙) ในแนวปฏิบัติขององค์ประชาธิปัตย์ มีความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง ปัญหาของเสรีภาพส่วนบุคคลก็คือ อาจถูกกระทบกระเทือนได้ด้วย "ทรราชของเสียงข้างมาก" ซึ่งยากที่ระเบียบสังคมหรือสถาบันที่มีอยู่จะปกป้องและป้องกันได้ ด้วยเหตุนี้ Mill จึงเรียกร้องให้เสรีภาพส่วนบุคคลไม่ต้องอยู่บนพื้นฐานของเสียงข้างมาก หรือด้วยความเคยชิน จะต้องไม่ถูกจำกัดด้วยเหตุดังกล่าว ยกเว้นเพื่อผลประโยชน์ของการปกป้องเสรีส่วนบุคคลของคนอื่นๆ และยังบอกว่าเสรีภาพส่วนบุคคลซึ่งมีบทบาทสำคัญแก่ประโยชน์ของส่วนรวมคือ เสรีภาพในความคิดและการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการดำรงชีวิตและในการประชุม (แม้ความเห็นของบุคคลจะต่างจากความเห็นของส่วนใหญ่อย่างไร ก็ไม่ควรถูกห้ามให้แสดงความคิดเห็นนั้นออกมา ด้วยเหตุผลว่า ถ้าความเห็นที่แปลกออกไปนี้เกิดถูกต้องขึ้นมา โอกาสที่สังคมจะพัฒนาไปในทางที่ถูกต้องนั้นก็จะถูกปิดกั้นเสียอย่างไร้ความหมาย ซึ่งหมายถึงโอกาสที่มนุษยชาติจะพัฒนาและแสวงหาความจริงก็จะต้องเสียไปด้วย และถึงแม้ว่าความเห็นนั้นอาจจะผิด การห้ามแสดงความคิดเห็นก็จะทำให้บุคคลอื่นไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นคัดค้านเพื่อการตรวจสอบและพิสูจน์ ความคิดเห็นที่ถูกปิดกั้นอยู่นานๆจะกลายเป็นความเชื่อที่งมงายและไร้เหตุผลได้โดยง่าย) เขาสรุปว่า ความก้าวหน้าเกิดขึ้นไม่ได้เลยโดยไม่มีเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น

Mill ยังใช้แนวความคิดเรื่องเสรีภาพอธิบายพฤติกรรมทางเศรษฐศาสตร์ของมนุษย์ว่า ถึงแม้ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะมีการแบ่งปันกันอย่างไม่เท่าเทียมกันโดยการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง ก็ไม่ได้แปลว่าการกระทำที่นำผลดีผลเสียมาให้นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ตราบใดที่ไม่ได้วิธีการอันไม่ชอบธรรมในทางที่จะให้เกิดผลประโยชน์เฉพาะแก่ตนเองเท่านั้น (เช่นการขายสุรา ยาพิษ การพนัน หรือการค้าประเวณี) (แต่ Mill มีอนุมานว่าบุคคลต้องรู้เองว่า ไม่ควรกระทำการที่จะเป็นภัยแก่ตน) โดยหลักการของ Mill: จะไม่มีเสรีภาพ เมื่อต้องสละเสรีภาพของตนเอง แต่ Mill ก็ยอมรับว่า ในเรื่องของครอบครัวและเกี่ยวกับการศึกษา มีความจำเป็นอยู่บ้างที่ต้องจำกัดขอบเขตของเสรีภาพ เช่นเด็กๆต้องรับการศึกษา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม

สุดท้าย Mill เรียกร้องให้รัฐและบุคคลากรของรัฐ ควรทำหน้าที่เพียงจัดการในกิจการต่างๆให้เกิดเป็นผลประโยชน์อย่างเสรีและในความร่วมมือกันแก่ประชาชนเท่านั้น โดยเข้ายุ่งเกี่ยวน้อยที่สุด เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะมิฉะนั้นแล้ว อำนาจที่ไม่จำเป็นของรัฐก็จะทำให้ประชาชนสูญเสียเสรีภาพไปได้

"On Liberty" ถือว่าเป็นเอกสารเริ่มต้นของทฤษฎีการเมืองแบบเสรีนิยมสมัยใหม่

งานสำคัญอีกชิ้นของ MIll ซึ่งพูดถึงระบบและสถาบันการเมือง ในบริบทของเสรีภาพของประชาชนโดยตรง คือ "Considerations on Representative Government"

พัฒนาการทางเศรษฐกิจ-สังคม และทางการเมืองในเยอรมันเป็นอีกลักษณะหนึ่ง ต่างๆไปจากในอังกฤษและฝรั่งเศส ทุกอย่างออกจะช้ากว่าในอีก ๒ ประเทศ ในขณะที่อังกฤษมีการปฏิวัติของประชาชนมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ แล้ว และสามารถพัฒนาในทางเศรษฐกิจจนเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษต่อมา และสามารถประคับประคองด้วยมาตรการทางการเมืองไม่ให้เกิดการปฏิวัติใหญ่ทางสังคมได้ ฝรั่งเศสก็มีแนวทางการพัฒนาของตนเอง รัฐฝรั่งเศสเป็นรัฐที่รวมอำนาจสู่ศูนย์กลางอย่างยิ่ง กษัตริย์พระองค์หนึ่งถึงกับตรัสว่า "ฉันคือรัฐ" แต่เนื่องจากไม่มีการปฏิรูปทางสังคมและทางการเมืองที่สำคัญเกิดขึ้นเลย ในที่สุดก็เกิดการปฏิวัติใหญ่ขึ้น แต่ไม่นานนัก ฝรั่งเศสก็มีกษัตริย์นักรบเป็นผู้นำใหม่ สร้างความรู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษแก่ชาติฝรั่งเศส แม้ว่าจะต้องแพ้สงครามในที่สุด ส่วนในดินแดนเยอรมันนั้น มีลักษณะของการปกครองท้องถิ่นที่เป็นอิสระจากกัน (ประมาณ ๓๐๐ กว่ารัฐ และเมืองที่เป็นอิสระ) ลักษณะเฉพาะตัวก็มีข้อดี เพราะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างสูง ข้อเสียคือการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นไปค่อนข้างช้า เพราะในดินแดนเยอรมันมีเส้นกั้นพรมแดนมากมายเหลือเกิน (เมื่อปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่อำนวย ก็แข่งขันกันทางวัฒนธรรม) แต่ในที่สุด ปรัสเซียก็ก่อร้างสร้างตัวมีอำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นคู่แข่งของราชสำนักที่ออสเตรียได้ รัฐเยอรมันทั้งหลายเมื่อปลาย คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการรวมตัวเป็นชาติ

ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ กระแสของ Romanticism กำลังมาแรงในหมู่ปัญญาชนเยอรมัน พวกโรมันติกปฏิเสธภาพของโลกตามทัศนะของนิวตัน ซึ่งมองโลกอย่างเป็นระบบกลศาสตร์ ที่มีความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงตามกฎที่คำนวณด้วยคณิตศาสตร์และทำนายได้ พวกเขาชื่นชมที่จะมองโลกตามภาพของธรรมชาติที่เป็นกระบวนการที่ค่อยเติบโตและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอกเวลา มองมนุษย์อย่างเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ เป็นผลิตผลและการสร้างของจิตวิญญาณที่มีพลังเหนือสิ่งอื่นใด มีพฤติกรรมจากพลังผลักดันอันสับสนวุ่นวาย (chaotic) ของอารมณ์และความรู้สึกสำนึกต่างๆ และสังคมไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพียงเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันโดยปราศจากข้อขัดแย้ง โดยต้องสละความพอใจของตนให้น้อยที่สุด หรืออยู่ในสังคมเพื่อสร้างความพอใจสูงสุดแก่ตนเอง

ตรงนี้ขอแทรกเกี่ยวกับทฤษฎีไดอาเล็คติก มีบทบาทไม่น้อยในพื้นฐานความคิดของ Hegel นักปรัชญาสมัยก่อนเฮเกลเชื่อว่า ทุกอย่างในจักรวาลตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เฮเกลเชื่อตรงกันข้ามว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและจะปฏิรูปในทางที่ดีขึ้น การปฏิรูปจะเกิดขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด เขาให้ชื่อทฤษฎีของเขาว่า Dialectic ซึ่งเป็นภาษากรีก แปลว่า การใช้เหตุผล และเขาอธิบายต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากการปะทะหรือความขัดแย้งของสองสิ่ง ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกัน และทำให้เกิดความเคลื่อนไหว (movement) และนำไปสู่สภาพใหม่ที่ดีกว่า แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ก็จะมีสิ่งตรงข้ามเกิดขึ้น และก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพใหม่อีก และจะเป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

ปรัชญาการเมืองของ Hegel เป็นทฤษฎีที่วิจารณ์สังคมเมืองสมัยใหม่ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เอาการปฏิวัติใหญ่ ๒ ครั้งมาประเมินด้วย นั่นคือการปฏิวัติฝรั่งเศส(ทางการเมือง) และการปฏิวัติอุตสาหกรรม(ทางสังคม) การปฏิวัติสะท้อนเจตน์จำนงทั่วไปของประชาชน แต่ในกรณีของการปฏิวัติฝรั่งเศส เจตน์จำนงของประชาชนแต่ละคน และของส่วนรวมไม่ประสานกัน ผลก็คือความโหดร้ายและการกดขี่ ในกรณีของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลคือการแบ่งงานที่เข้มงวดขึ้นและความร่ำรวย แต่ก็หมายถึงความยากจนและการถูกกดขี่อีกด้วย และรัฐก็ได้กลายเป็นแค่เครื่องมือเฝ้าดูแลผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทำหน้าปกป้องผลประโยชน์แก่สมาชิกทุกคนในสังคม แต่ Hegel ว่าการกลับคืนสู่รูปแบบที่เป็นอุดมคติของการอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ โดยที่ปัจเจกชนที่อยู่ในสังคมอย่างเป็นเอกเทศจะต้องกลับคืนสู่ "ความมีศีลธรรม" ของรัฐและประชาชน (folk) อีกครั้ง

นอกจากนี้ คำว่า "เสรีภาพ"ก็มีบทบาทมากในปรัชญาของ Hegel : มนุษย์ปรารถนาเสรีภาพ และสร้างความจริงขึ้นตามนั้น นิยามของคำว่าเสรีภาพของเขา คือ การยกเลิกข้อจำกัดทั้งหลาย และ การที่สามารถอยู่เป็นตัวของตนเองได้ แต่เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียว ปัญหาก็คือ ต้องสร้างสถาบันทางสังคมขึ้น ที่จะทำให้ทุกคนมีเสรีภาพอย่างนั้นได้ สถาบันเช่นว่านั้นก็คือ นิติรัฐ ซึ่งมีข้อกำหนดสิทธิ์ของรัฐและประชาชน การยอมรับอำนาจของ "ความคิด" รัฐจะต้องมีหน้าที่ประสานประโยชน์หรืออมชอมผลประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวม แต่ในกรณีที่เกิดปัญหาในการกำหนดดุลอันเหมาะสมระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและของประชาคม เฮเกลตัดสินใจให้ผลประโยชน์ของฝ่ายประชาคมมากกว่า

Hegel มองสังคมเมืองว่าเป็นผลมาจากการดำเนินชีวิตในโลกสมัยใหม่ และได้เข้ามามีบทบาทแทรกอยู่ระหว่าง ครอบครัวและรัฐ และได้กลายเป็นสถานที่ต่อสู้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของทุกคนกับทุกคน เป็นแหล่งสะท้อนความยากแสนสาหัส ความเสื่อมโทรมทั้งทางวัตถุและทางศีลธรรม ในภาพของความเป็นจริงคือ สังคมเมืองเป็นที่ที่คนจำนวนน้อยสะสมความร่ำรวย ในขณะที่คนจำนวนมากต้องลำบาก และขาดอิสรภาพ และที่สำคัญคือ เนื่องจากงานที่ต้องทำ(งานแลกเงิน) พวกเขาได้สูญเสียความสำนึกต่อกฎหมายและความยุติธรรม และศักดิ์ศรี Hegel ทำนายว่า โลกจะพัฒนาต่อไปสู่จักรวรรดินิยมทางวัตถุ และจะทำให้คนจำนวนหนึ่งค้นพบแนวคิดว่า ถึงเวลาแล้วจะต้องกลับคืนสู่หลักการของครอบครัว และรัฐก็จะต้องมีภารกิจเพิ่มเติม นอกเหนือจากการให้สวัสดิการแก่ผู้ยากไร้แล้ว รัฐจะต้องนำผลประโยชน์จากความเห็นแก่ตัวกลับคืนสู่ส่วนรวม

รัฐที่ดีที่สุดในทัศนะของ Hegel ไม่ใช่รัฐที่เสรีภาพส่วนบุคคลเป็นใหญ่ที่สุด แต่เป็นสังคมที่มนุษย์แต่ละคนสามารถแสดงออกซึ่งเจตน์จำนงของตนให้ปรากฏเป็นลักษณะเฉพาะพิเศษได้ตามทัศนะทางศีลธรรมของเขา โดยสรุป "รัฐโดยตัวเองแล้ว คือความมีศีลธรรม คือการทำให้เสรีภาพเป็นความจริง" และ "เป้าหมายของประวัติศาสตร์ทั้งปวงคือ เป้าหมายสูงสุดของความมีเหตุผล ที่เสรีภาพเป็นความจริง"

เป็นที่น่าสนใจว่า ผลงานทางปรัชญาการเมืองของ Hegel สามารถอ้างอิงได้จากทั้งฝ่ายขวาจัด เช่นพวกฟาสซิสต์ และจากพวกซ้ายจัด เช่นพวกคอมมิวนิสต์

ความคิดเรื่องทรัพย์สินส่วนบุคคลได้พัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และดูเหมือนว่ามนุษย์จะได้ตกเป็นทาสของทรัพย์สินที่พวกเขาได้สร้างขึ้นเอง ในอดีตมีผู้คิดถึงสังคมที่มีทรัพย์สินเป็นส่วนกลาง ปราศจากทรัพย์สินส่วนบุคคล (เพลโต และโทมัส มอร์) ซึ่งในทางทฤษฎีการเมืองเรียกว่าเป็น "สังคมนิยม"

หลักการทางปรัชญาของ Marx คือ historical materialism (วัตถุนิยมประวัติศาสตร์) ปรากฏอยู่ในงานสำคัญ ๒ ชื้นคือ "The Capital" และ "The Communist Manifest" งานชิ้นแรกเป็นการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ โดยพิจารณาจากแนวทางเศรษฐศาสตร์ และพบว่าพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์นี้เป็นตัวกำหนดโครงสร้างส่วนบนของสังคม เช่น สถาบันทางกฎหมาย ทางการเมือง และทางศาสนา และรัฐก็เป็นเพียงสถาบันของชนชั้นหนึ่งในสังคมเท่านั้น ที่ใช้โครงสร้างส่วนบนของสังคมเป็นเครื่องมือในการรักษาและเพิ่มอำนาจและทรัพย์สินของตน มีเพียงการปฏิวัติเท่านั้นที่จะทำลายทรัพย์สินส่วนบุคคล และการแบ่งแยกชนชั้นได้ หลังจากนั้น "รัฐ" ก็จะตายและหมดความหมายไป (ปัจจัยการผลิต พลังการผลิต และความสัมพันธ์ทางการผลิต ทุนนิยม กำไร การสะสมทุน)

งานชื้นที่สองของเขา (เขียนร่วมกับ Friedrich Engels) ว่าด้วยทฤษฎีการเมืองในลักษณะที่เป็นแนวนโยบาย และมุ่งหวังผลในทางปฏิบัติจริง "ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหลายทั้งปวง เป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น" เขาพูดถึงพัฒนาการของชนชั้นกระฎุมพีและการควบคุมกระบวนการการผลิตและโครงสร้างส่วนบนของสังคม และความเสื่อมของชนชั้นนั้น พร้อมกับการพัฒนาการรวมตัวของกรรมกรขึ้นเป็นชนชั้นใหม่ และภารกิจทางประวัติศาสตร์ของพวกเขา เนื่องจากมีความเข้าใจผิดและอคติอย่างมากต่อขบวนการคอมมิวนิสต์ จึงต้องพัฒนาคอมมิวนิสต์ให้เป็นวิทยาศาสตร์ และทำให้องค์กรเป็นผู้นำในขบวนการของกรรมกรสากล ในงานดังกล่าว มีการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองอยู่ด้วย เพราะในแนวทางสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เองก็มีรูปแบบย่อยแฝงอยู่หลายแนวทาง ซึ่งแข่งขันกันเอง (เป็น ideological critique ครั้งแรก) และท้ายสุด ได้มีการเสนอแนวทางปฏิบัติสำหรับพรรค พูดถึงยุทธศาสตร์ทั้งในแผนระยะสั้น และในแผนระยะยาว มีการกำหนดเงื่อนไขและบทบาทที่เหมาะสมกับเงื่อนไข การทำงานร่วมกัน การร่วมมือกับกลุ่มต่างๆในสังคม และท้ายสุด ด้วยคำขวัญว่า "กรรมกรทั้งหลายในโลก จงผนึกพลังกันเข้า" สำนึกของการปฏิวัติของชนชั้นกรรมกรก็ถูกปลุกขึ้น
Read more ...

วอลแตร์

2/1/53

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วอลแตร์ (Voltaire 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2321) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีชื่อเดิมว่า ฟรองซัวส์ มารี อรูเอต์ (François-Marie-Arouet) เกิดที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2237 (ค.ศ. 1694) ในตระกูลคนชั้นกลาง

ประวัติ

วอลแตร์เป็นคนมีการศึกษาดี ฉลาด มีไหวพริบ และมีความสามารถพิเศษทางวรรณศิลป์ เมื่อเขาเข้าศึกษาในโรงเรียนหลุยส์-เลอ-กรอง (Louis-le-Grand) ที่มีชื่อของพระนิกายเยซูอิต ทำให้วอลแตร์มีความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ร่วมสมัย การเมือง ตลอดจนวรรณกรรมของนักเขียนกรีกโรมัน ซึ่งมีอิทธิพลทำให้เขามีรสนิยมแบบคลาสสิก เมื่อเขาจบการศึกษาวอลแตร์ก็ทำงานเป็นทนายความ แต่ความที่เขาเป็นคนหัวแข็งและชอบขบถ จึงไม่ชอบอาชีพนี้เลย เพราะเขาคิดว่าเป็นตำแหน่งที่ ”ซื้อเอาได้” เขาอยากทำงานที่ ”ไม่ต้องซื้อหา”

วอลแตร์หันมาเขียนหนังสืออย่างจริงจังเมื่ออายุได้ 20 ปี เขาชอบเขียนหนังสือประเภทเสียดสีสังคมอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเขาจะคบหาสมาคมกับชนชั้นสูงก็ตามแต่เขาก็ไม่ละเว้นที่จะโจมตีชนชั้นนี้ และในปี พ.ศ. 2260 (ค.ศ. 1717) เขาเขียนกลอนล้อเลียนผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (Duc d’Orléans) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 จึงถูกส่งเข้าคุกบาสตีย์ ขณะที่อยู่ในคุกเขาเขียนบทละครโศกนาฏกรรมเรื่องแรกขึ้นชื่อ เออดิปป์ (Œdipe) ในปี พ.ศ. 2261(ค.ศ. 1718) เพื่อต่อต้านความเชื่อทางศาสนา ต่อต้านความเชื่อเรื่องโชคเคราะห์ และชะตาลิขิต และเพื่อเน้นความสำคัญทางเสรีภาพของมนุษย์ ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อนำออกแสดงภายหลังที่เขาพ้นโทษ ก็ส่งผลให้วอลแตร์มีฐานะทัดเทียมกับกอร์เนย (Corneille) และ ราซีน (Racine) นักเขียนบทละครโศกนาฎกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 17 และทำให้เขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างหรูหราในราชสำนัก ต่อมาเขาได้ใช้ชื่อ วอลแตร์ (Voltaire) ซึ่งเป็นชื่อที่เขาคิดขึ้นแทนชื่อเดิม

ในปี พ.ศ. 2269 (ค.ศ. 1726) วอลแตร์ถูกขังคุกอีกครั้ง เนื่องจากมีเรื่องพิพาทกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งคือ ดุ๊ค เดอ โรออง-ชาโบ (Duc de Rohan-Chabot) เมื่อออกมาจากคุกเขาถูกเนรเทศไปประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2269 - 2271) ทำให้เขาได้มีโอกาสศึกษาปรัชญาของ จอห์น ล็อก (John Locke) นักปราชญ์ชาวอังกฤษและผลงานของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ที่มีอิทธิพลต่องานละครและผลงานอื่นของเขาในเวลาต่อมาเป็นอย่างมาก บทละครของวอลแตร์ที่ได้รับอิทธิพลจากเช็คสเปียร์ คือ Zaïre และ Brutus เพียงปีเดียวในประเทศอังกฤษ เขาก็มีผลงานเขียนเป็นภาษาอังกฤษชื่อ Essay Upon Epic Poetry นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2271 (ค.ศ. 1728) เขาก็ได้พิมพ์มหากาพย์ชื่อ La Henriade เพื่อสดุดีพระเจ้าอองรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในฐานะกษัตริย์ที่ทรงขันติธรรมในด้านศาสนา เนื่องจากทรงเป็นผู้บัญญัติ “L’Edit de Nantes” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยให้สงครามระหว่างพวกคาธอลิกและโปรแตสแตนท์ยุติลงได้ ซึ่งมหากาพย์นี้ไม่สามารถตีพิมพ์ในประเทศ ฝรั่งเศสเนื่องจากไม่เป็นที่พอใจของราชสำนัก รัฐสภาและพระสันตะปาปา

นอกจากนี้ วอลแตร์ยังนิยมความคิดของนิวตัน (Newton) นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก เขาแปลงานของนิวตัน และยังเขียนหนังสือว่าด้วยทฤษฎีของนักวิทยา-ศาสตร์ผู้นี้อีกหลายเล่ม วอลแตร์เห็นว่าแนวความคิดของนิวตันก่อให้เกิดการปฏิวัติในภูมิปัญญาของมนุษย์ เพราะนิวตันเชื่อว่าความจริงย่อมได้จากประสบการณ์และการทดลอง เขาไม่ยอมรับสมมติฐานใด ๆ โดยอาศัยสูตรสำเร็จโดยวิธีของคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียว

เมื่อกลับประเทศฝรั่งเศสวอลแตร์ก็เขียนบทความโจมตีศาสนา เมื่อบาทหลวงปฏิเสธไม่ยอมทำพิธีให้กับนักแสดงละครหญิง ซึ่งรับบทแสดงเป็นราชินีโจคาสต์ ในละครเรื่อง Œdipe นับตั้งแต่นั้นมาวอลแตร์จึงโจมตีเรื่องอคติ และการขาดขันติธรรมของศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิกอยู่เสมอ แม้จะถูกตักเตือนและถูกข่มขู่จากผู้มีอำนาจเซ็นเซ่อร์งานเขียนของเขา แต่วอลแตร์ก็ไม่เคยเกรงกลัว นอกจากนี้เขายังเปิดโปงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง

เขาเกือบถูกจับอีกครั้งเมื่อพิมพ์หนังสือชื่อ จดหมายปรัชญา (Les Lettres philosophiques ou Lettres anglaises) ออกมาในปี พ.ศ. 2277 (ค.ศ. 1734)จดหมายปรัชญา มีทั้งความคิด เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เขียนด้วยโวหารที่คมคาย พร้อมด้วยการเสียดสีที่ถากถาง วอลแตร์วิพากษ์วิจารณ์ทั้งศาสนา การเมือง วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และจบลงด้วยการวิจารณ์แบลส ปาสกาล (Blaise Pascal) นักคิดคนสำคัญทางด้านศาสนาในศตวรรษที่ 17 ผลงานชิ้นนี้ทำให้วอลแตร์กลายเป็นนักปราชญ์ที่ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเบื่อ เป็นงานที่ลีลาการเขียนเฉพาะตัวของเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน และด้วยหนังสือเล่มนี้ทำให้เขาต้องหนีไปอยู่ที่วังซิเรย์ (Cirey) ของ มาดาม ดู ชาเตอเล่ท์ (Madame du Châtelet) ในแคว้นลอแรนน์ หล่อนเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์และทรงความรู้ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันยาวนานถึง 17 ปี วอลแตร์รักหล่อนมาก นับว่าหล่อนเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญอีกคนหนึ่ง

ตลอดเวลาที่พักอยู่วังซิเรย์ วอลแตร์จะเขียนหนังสืออยู่ไม่หยุด และจะสนใจศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์ด้วย เขามีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศปรัสเซีย ซึ่งเขาได้กลายเป็นคนโปรดของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งประเทศปรัสเซีย (Frederic II roi de Prusse) ในปี พ.ศ. 2288 (ค.ศ. 1745) วอลแตร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักประวัติศาสตร์แห่งชาติ และปีต่อมาก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกราชบัณฑิตยสถานของฝรั่งเศส (l’Académie française) และยังได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางอีกด้วย จากการที่วอลแตร์เป็นคนที่มีความสามารถ เขาจึงได้กลายเป็นที่โปรดปรานของ มาดาม เดอ ปอมปาดูร์(Madame de Pompadour) พระสนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แต่อย่างไรก็ตามชีวิตของเขาก็เริ่มตกอับ กล่าวคือเขาเริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตในราชสำนัก ที่มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ การแก่งแย่งชิงดี ประจบสอพลอ อีกทั้งมาดาม ดู ปอมปาดูร์ ก็หันไปโปรดกวีคนใหม่คือ Crébillon และยิ่งร้ายไปกว่านั้นในปี พ.ศ. 2292(ค.ศ. 1749) มาดาม ดู ชาเตอเล่ย์ ก็ได้เสียชีวิตลง วอลแตร์จึงรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมาก ชะตาชีวิตระหว่างปี พ.ศ. 2286 - 2290 นี้ นับเป็นแรงบันดาลใจให้เขาแต่งนวนิยายเชิงปรัชญาที่สำคัญ คือ ซาดิก (Zadig ou La Destineé) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2291 (ค.ศ. 1748)

นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) เขาได้รับเชิญจากพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ให้ไปอยู่ในราชสำนัก ระหว่างที่พักอยู่ที่ราชสำนักเบอร์ลินเขาได้ตีพิมพ์ผลงานที่สำคัญสองเรื่อง คือ ศตวรรษพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Le Siècle de Louis XIV) และนิทานปรัชญาเรื่อง มิโครเมกาส (Micromégas) ต่อมาไม่นานวอลแตร์กลับได้พบความผิดหวังในตัวพระองค์อย่างรุนแรง เพราะพระองค์ทรงเห็นวรรณคดีและปรัชญาเป็นเพียงเครื่องเล่นประเทืองอารมณ์เท่านั้น อีกทั้งพระองค์ทรงเล่นการเมืองด้วยความสับปรับ และเมื่อมีปัญหากับพระเจ้า-เฟรเดอริคที่ 2 วอลแตร์ก็ได้ไปตั้งรกรากอยู่ในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่คฤหาสน์ เล เดลิซ(Les Délices) และอยู่ที่นั่นกับหลานสาวชื่อมาดามเดอนีส์ (Madame Denis) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมาได้สิบปีแล้ว ในปี พ.ศ. 2300 วอลแตร์ซื้อคฤหาสน์ใหม่ที่แฟร์เนย์ (Ferney) ในประเทศฝรั่งเศสติดชายแดนสวิสเซอร์แลนด์ และเขาได้เริ่มเขียนนิทานปรัชญาเรื่อง ก็องดิดด์ หรือ สุทรรศนิยม (Candide ou L’optimisme) ในปีต่อมา ซึ่งถือกันว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาอีกเรื่องหนึ่งเลยที่เดียว ผลงานชิ้นนี้ได้ยืนยันความเป็นปราชญ์ของวอลแตร์ ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความคิดวิพากษ์ วิจารณ์ในศตวรรษที่18 ได้เป็นอย่างดี

ระหว่างในปี พ.ศ. 2305 – 2308 วอลแตร์ได้ช่วยเหลือครอบครัวกาลาส (Calas) โดยการเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ ฌอง กาลาส ผู้เป็นบิดาซึ่งถูกตัดสินลงโทษจนเสียชีวิต จากข้อกล่าวหาว่าฆ่าลูกชายที่ประสงค์จะเปลี่ยนไปนับถือนิกายคาทอลิก เขาจึงได้เขียน บทความว่าด้วยขันติธรรม (Traité sur la tolérance)

ในปี พ.ศ. 2306 ซึ่งพูดถึงการยอมรับศาสนาที่แตกต่างกันออกไปเพื่อช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวกาลาส เหตุที่เขาเข้าไปช่วยเพราะเขาเห็นว่าไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการลงโทษประหารชีวิต ผู้บริสุทธิ์ และคำตัดสินใหม่ก็ทำให้ตระกูลกาลาสพ้นผิด ภรรยาและบุตรธิดาของฌอง กาลาสก็ได้รับทรัพย์สมบัติของตระกูลคืน จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้วอลแตร์เปรียบเสมือนวีรบุรุษแห่งตำนาน เป็นประทีปแห่งปัญญาที่ไม่เคยมีปัญญาชนคนใดเคยทำมาก่อน

ช่วงนี้วอลแตร์ก็ยังมีผลงานคือ ปทานุกรมปรัชญา หรือ Le Dictionnaire Philosophique ในปี พ.ศ. 2307 (ค.ศ. 1764) อีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะมีความขัดแย้งกับผู้คนจำนวนมาก เพราะความกล้าที่จะเสียดสีสังคมของเขา แต่ในตอนบั้นปลายชีวิตของวอลแตร์ เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างทรงเกียรติ เมื่อเดินทางกลับมายังกรุง ปารีส ซึ่งโรงละครโกเมดี ฟรองเซส (La Comédie Française) จัดแสดงละครโศกนาฏกรรมเรื่องสุดท้ายที่วอลแตร์แต่งคือ อิแรนน์ (Irène) เพื่อฉลองการกลับมาถึงกรุงปารีสของเขา โดยที่ช่วงก่อนการแสดง ช่วงสิ้นสุดแต่ละองค์ และช่วงจบการแสดง นักแสดงได้นำรูปปั้นครึ่งตัวของวอลแตร์ขึ้นบนเวที ฝูงชนก็ตบมือและส่งเสียงเรียกชื่อของเขาดังกึกก้อง

ศตวรรษต่อมาวิคตอร์ ฮูโก (Victor Hugo) กล่าวว่า "วอลแตร์ คือ 1789" เพราะความคิดของ วอลแตร์มีอิทธิพลต่อประชาชนผู้ลุกฮือขึ้นมาทำการปฏิวัติใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2332 จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อวอลแตร์เสียชีวิตไปในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2321 (ค.ศ. 1778) ขณะที่มีอายุได้ 84 ปีนั้น ทางศาสนาไม่อยากทำพิธีศพให้ แต่เมื่อประชาชนทำการปฏิวัติได้สำเร็จ ก็ได้นำอัฐิของเขาไปยังวิหารปองเตอง (Le Panthéon) ในปี 1791 ในฐานะผู้ที่ประกอบคุณอนันต์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศส

ผลงานของวอลแตร์

ผลงานของวอลแตร์มีจำนวนมากมาย หลากหลายประเภททั้งบทละคร นิยาย นิทานเชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และบทกวี เขาได้รับยกย่องจากคนร่วมสมัยว่าเป็นนักเขียนบทละครชั้นนำและกวีชั้นนำ แต่ในปัจจุบันเขากลับเป็นที่ยกย่องใน

ฐานะนักเขียนเชิงเสียดสี วิพากษ์วิจารณ์ (Le symbole de l’esprit critique)

 ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ความคิดทางปรัชญาไปสู่สาธารณชน เพื่อปลุกความคิดวิพากษ์วิจารณ์ให้แก่ชาวฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านความคิดระบบสถาบันแบบเก่า การต่อสู้เพื่อขจัดความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งความเชื่อที่งมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพและการแสดงความคิดเห็นอีกด้วย
[แก้]อิทธิพลของวอลแตร์

ผลงานตลอดชีวิตของวอลแตร์ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความคิดวิพากวิจารณ์” (L‘esprit critique) แก่ชาวฝรั่งเศสโดยรวม ความคิดวิพากวิจารณ์นี้ทำให้ชาวฝรั่งเศสตั้งคำถามต่อทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ที่ปรากฏในสังคมของตน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสถาบันการเมืองการปกครอง โดยเขาได้โจมตีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สถาบันกษัตริย์ การใช้อำนาจตามอำเภอใจของกษัตริย์ สถาบันศาสนา โจมตีคำสอนความเชื่อที่งมงาย เป็นต้น

วอลแตร์ได้นำหลักการใช้เหตุผล (L’esprit scientifique) 

มาแพร่หลายให้แก่ประชาชน เพื่อมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยการใช้เหตุผลแก้ปัญหา และรู้จักคิดพิจารณาก่อนจะเชื่ออะไรง่าย ๆ เขาใช้ผลงานของเขามาเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวความคิดทางปรัชญาและนำไปสู่สาธารณชน เพื่อทำให้ประชาชนได้เห็นได้เข้าใจและตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้น ซึ่งแนวคิดและความรู้เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกับแสงสว่างทางปัญญาให้แก่ประชาชน วอลแตร์จึงเป็นผู้ที่มีส่วนทำให้ประชาชนมีเสรีภาพทางความคิดและทำให้ผู้คนสนใจการเมืองการปกครองแบบอังกฤษ

ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าวอลแตร์มีอิทธิพลต่อคริสตวรรษที่ 18 เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและศาสนา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “การปฏิวัติฝรั่งเศส พ.ศ. 2332”

อ้างอิง

ข้อมูลโดย นักศึกษาสาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาควิชาภาษาตะวันตก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วิชาประวัติวรรณคดีฝรั่งเศส 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548

Read more ...

อังกฤษเตรียมร่างกฎหมายตัดอินเทอร์เน็ต

2/1/53
29 October 2009 - 01:32

หลังจากที่กฎหมายตัดอินเทอร์เน็ตในฝรั่งเศสกำลังจะมีผลบังคับใช้ อังกฤษก็กำลังเตรียมร่างกฎหมายประเภทเดียวกัน

ในชั้นแรก กฎหมายดังกล่าวจะกำหนดให้ทางการแจ้งเตือนผู้ดาวน์โหลดผิดกฎหมายให้หยุดการกระทำที่ฝ่าฝืนลิขสิทธิ์ โดยหากไม่ปฏิบัติตาม ก็อาจจะโดนลดแบนด์วิธการดาวน์โหลด หรือโดนตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในที่สุด

แหล่งข่าวให้รายละเอียดว่า รัฐบาลอังกฤษ โดย Department for Business, Skills and Innovation กำลังยกร่างกฎหมายดังกล่าว และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในราวเดือนเมษายน 2553 ทั้งนี้ ในปี 2553 จะยังไม่มีการบังคับใช้การตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เนื่องจากต้องการเน้นการสร้างจิตสำนึกก่อน และรัฐบาลอังกฤษคาดว่า ในหนึ่งปี จะสามารถลดการดาวน์โหลดผิดกฎหมายได้ประมาณร้อยละ 70 อย่างไรก็ดี ในปีถัดไป รัฐบาลก็จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด กล่าวคือ ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษเน้นว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์ โดยในระยะยาว รัฐบาลจะมีมาตรการเพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมจับมือกับผู้บริโภคเพื่อให้มีสินค้าที่มีราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้นและช่วยให้การถ่ายโอนเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ระหว่างสื่อต่างๆ สามารถทำได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ลดปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ได้อีกทางหนึ่ง

ทางด้านภาคประชาสังคม อาทิ กลุ่ม Open Rights ซึ่งเป็นองค์กรล็อบบี้ด้านลิขสิทธิ์ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจาก เป็นการทำให้ผู้ทำผิดกฎหมายกลายเป็นอาชญากร ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยกลุ่มดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลศึกษาการเปิดกว้างให้ประชาชนเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้มากขึ้น แทนที่จะยอมปฏิบัติตามอุตสาหกรรมเพลงที่กดดันให้รัฐบาลออกกฎหมายดังกล่าว
Read more ...

ศาลรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสตัดสินกฎหมายตัดอินเทอร์เน็ตไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

2/1/53

25 October 2009 - 21:25

ตามที่ฝ่ายค้านฝรั่งเศสได้ยื่นร่าง พรบ. ตัดอินเทอร์เน็ตในกรณีดาวน์โหลดผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ (HADOPI) ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสนั้น เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า ร่าง พรบ. HADOPI ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี ในคำวินิจฉัยเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่า บทบัญญัติของร่าง พรบ. ในส่วนที่ให้อำนาจรัฐบาลในการกำหนดเงื่อนไขทางพระราชกฤษฎีกาสำหรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้เจ้าของลิขสิทธิ์โดยผู้กระทำผิด (ร่างมาตรา 6.II) นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญและให้แก้ไขบทบัญญัติดังกล่าวให้กำหนดเงื่อนไขลงไปในตัวกฎหมายเอง

อนึ่ง หลังการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรายใดในฝรั่งเศสที่ดาวน์โหลดแบบผิดกฎหมาย ก็จะได้รับแจ้งให้หยุดการกระทำผิดกฎหมายนั้น และหากไม่ปฏิบัติตาม การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผู้ใช้รายนั้นก็จะถูกระงับในที่สุด

ที่มา นสพ. Le Monde (ภาษาฝรั่งเศส) และคำแปลโดย Google Translate เป็นภาษาอังกฤษ, แถลงข่าวโดยศาลรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส (PDF)
Read more ...

ความจำเป็นและประโยชน์ของการมีศาลปกครอง

27/12/52

ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน18/3/2552

คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ หลังจากที่ประเทศไทยมีศาลปกครองทำให้ประชาชนมีสิทธิมากกว่าที่เป็นอยู่ ในแต่ขณะเดียวกัน ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นสาเหตุให้ข้าราชการทำงานอย่างไม่มั่นใจและสะดวกใจ เพราะกริ่งเกรงว่าจะมีการปฏิบัติงานผิดพลาด ศาลปกครองจึงอาจจะถูกมองทั้งในแง่บวก เป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และในขณะเดียวกัน ก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อการปฏิบัติของข้าราชการ รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานทางการเมืองด้วย ประเด็นดังกล่าวนี้จำเป็นต้องมีการพินิจพิเคราะห์จากแง่มุมต่างๆ อย่างถี่ถ้วน

ภายใต้ระบบการเมืองการปกครองนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ประชาชนคือ เจ้าของประเทศ และเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การมีระบบการปกครองซึ่งมาจากการมีรัฐบาล มีรัฐสภา และมีศาล ก็คือการมอบพันธกิจให้กับบุคคลที่ทำหน้าที่ในสถาบันดังกล่าวดูแลผลประโยชน์ของประชาชนด้วยการใช้อำนาจรัฐ ทรัพยากร การวางกฎระเบียบ และการมีนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาและเพื่อการพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยู่ได้อย่างมีความผาสุก

แต่อำนาจเป็นดาบสองคม สามารถจะนำไปสู่ความเสียหายได้ ทั้งโดยเจตนาด้วยการลุแก่อำนาจ หรือโดยประมาทรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือโดยไม่แยแสต่อผลที่จะเกิดขึ้น ประชาชนมีที่พึ่งด้วยการรวมตัวกันเป็นกลุ่มผลักดัน ด้วยการเรียกร้องผ่านผู้แทนราษฎร หรือเรียกร้องโดยตรงต่อรัฐบาลหรือรัฐสภา ในบางกรณีก็มีการฟ้องร้องคดีต่อศาลระหว่างกันเอง หรือการฟ้องร้ององค์กรของรัฐ หน่วยราชการต่างๆ

ศาลปกครองเป็นองค์กรหนึ่งที่ดูแลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของหน่วยงานราชการ ในกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างหน่วยราชการด้วยกันเอง ก็สามารถจะเป็นที่พึ่งในการแก้ปัญหาได้ หรือประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของทางราชการ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการประจำ ย่อมจะมีสิทธิในการป้องกันสิทธิและผลประโยชน์ของตนที่บัญญัติไว้รัฐธรรมนูญ

ข้าราชการที่ทำงานด้วยการอุทิศตนอย่างเต็มที่ ปฏิบัติตามกฎหมาย วางตัวเป็นกลางทางการเมือง มีศีลธรรมและจริยธรรม ย่อมมีความองอาจและบริสุทธิ์ผุดผ่องจะไม่รู้สึกถึงการทำงานที่ไม่สบายใจเพราะมิได้ทำความผิดอะไร หลักการก็คือ ต้องถือเอาความยุติธรรมและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

สิทธิของประชาชนที่จะพึ่งพาศาลปกครองเพื่อความยุติธรรมและเพื่อความถูกต้อง เป็นสิทธิขั้นมูลฐานที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อมิให้องค์กรของรัฐไม่ว่าจะฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายราชการละเมิดสิทธิของตนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย


สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างก็คือ รัฐเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ด้วยความยินยอมของประชาชนในสังคม ในลักษณะสัญญาประชาคม (social contract) ตามที่รุสโซได้กล่าวไว้ ความหมายก็คือ เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่มจนกลายเป็นสังคมย่อมจะต้องมีความขัดแย้ง จึงได้ยินยอมให้มีการสถาปนารัฐขึ้น และผู้ใช้อำนาจรัฐซึ่งมี 3 อำนาจ ได้แก่ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ จะทำหน้าที่ตามอาณัติที่ได้รับมอบจากประชาชน แต่เมื่อใดก็ตามที่การทำหน้าที่ดังกล่าวกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นมา ประชาชนย่อมมีทางออกที่จะไม่ปล่อยให้ผู้ทำหน้าที่ดังกล่าวดำรงอยู่ต่อไป วิธีการก็คือ การถอนอาณัติ

การถอนอาณัติในระบอบประชาธิปไตยก็คือ การไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งบุคคลดังกล่าวมาทำหน้าที่ต่อไป ขณะเดียวกันก็มีทางออกอื่นด้วยการชุมนุมโดยสงบและปราศจาอาวุธ ประท้วงและต่อต้านไม่ให้มีโครงการซึ่งกำหนดโดยรัฐที่ส่งผลกระทบต่อตน เช่น การสร้างมลภาวะ การทำให้การทำมาหากินโดยสงบสุขถูกกระทบกระเทือน โดยมีเหตุผลพอเพียงที่จะชี้ให้เห็นประจักษ์ และเมื่อถึงจุดที่ไม่สามารถจะทำให้สัมฤทธิผลได้ก็ต้องอาศัยองค์กรที่มีอยู่ และองค์กรที่มีอยู่ในหลายๆ องค์กรก็คือศาลสถิตยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ

ศาลสถิตยุติธรรมมี 3 ศาล คือศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ในส่วนของศาลปกครองนั้นก็มี 2 ระดับ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญ มีภารกิจสำคัญคือ การวินิจฉัยตีความกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม นอกเหนือจากนั้น ประชาชนสามารถจะพึ่งพาองค์กรที่เรียกว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา (ตามรัฐธรรมนูญปี 2540) หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน (ตามรัฐธรรมนูญปี 2550) เพื่อแก้ไขความทุกข์ของประชาชนจากการกระทำของรัฐ ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม นอกจากนั้น ยังมีองค์กรที่เรียกว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นที่พึ่งในกรณีที่มีการกระทำที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชน หรือการกระทำที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ ศาลปกครองก็เช่นเดียวกันกับศาลสถิตยุติธรรมและศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นองค์กรที่สำคัญและเป็นองค์กรที่ประชาชนภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย มีสิทธิที่จะใช้เป็นที่พึ่งพาในกรณีที่มีการกระทบกระเทือนต่อสิทธิของตนจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ
Read more ...

การเมือง การปกครองและศาล (จาก ข่าวศาลยุติธรรม ปีที่ 9 ฉบับที่ 84 (วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2551))

27/12/52

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

ศาลเป็นสถาบันที่มีภารกิจหลักคือการพิจารณาอรรถคดี ซึ่งประกอบด้วยคดีแพ่ง และคดีอาญาเป็นหลักที่เรียกว่าศาลสถิตยุติธรรม ภารกิจของศาลส่วนนี้เป็นภารกิจของผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ซึ่งต้องพิจารณาวินิจฉัยอรรถคดีตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้จบลงด้วยความยุติธรรมเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย ในกรณีคดีอาญานั้นคือการกระทำที่ผิดต่ออาญาแผ่นดินเกิดขึ้นได้โดยการกระทำต่อบุคคลด้วยกัน หรือระหว่างบุคคล และรัฐ หรือระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งกระทำผิดต่อประชาชน ในคดีแพ่งเป็นคดีพิพาทระหว่างเอกชนต่อเอกชน หรือรัฐกับเอกชน หรือกลับกันแล้วแต่กรณี ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นภารกิจหลักของศาลโดยมีกฎหมายที่ใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลความขัดแย้งทั้งทางแพ่ง และทางอาญา ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

การทำหน้าที่ของศาลที่กล่าวมาเบื้องต้นนอกจากจะมีกฎหมาย ซึ่งออกมาในรูปของพระราชบัญญัติ กฎระเบียบต่างๆ ยังมีกระบวนการยุติธรรม เช่น มีตำรวจ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย มีอำนาจในการจับกุมผู้กระทำความผิด อัยการ ซึ่งเป็นทนายความของแผ่นดิน รวมทั้งกรมราชทัณฑ์ ซึ่งทำหน้าที่หลังจากมีคำพิพากษาแล้ว นอกจากนั้นก็มีกรมบังคับคดี เป็นต้น

นอกจากภารกิจหลักของศาลสถิตยุติธรรมดังกล่าวมาเบื้องต้น ศาลยังมีภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองการปกครองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในส่วนของการเมืองนั้นศาลอาจจะมีภารกิจเกี่ยวพันกับทางอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารในระดับทั้งที่เป็นข้าราชการการเมือง และข้าราชการประจำ รวมตลอดทั้งรัฐวิสาหกิจ และองค์กรอื่นๆ แต่ในการเกี่ยวพันกับการเมืองการปกครองของศาลนั้น มีความแตกต่างกันระหว่างศาลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองโดยตรง กับศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งทำหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอรรถคดี ซึ่งมีผลกระทบหรือเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง

ในกรณีของศาล ซึ่งการวินิจฉัยเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองโดยตรงก็ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งอาจจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงหรือเป็นคดีอาญาตามปกติก็ได้ ส่วนศาลปกครองนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีที่สืบเนื่องจากการปกครองบริหาร เช่น ระหว่างกรมกองข้าราชการด้วยกันเอง หรือระหว่างเอกชนกับหน่วยงานราชการทั้งการเมือง และข้าราชการประจำ

แต่ในบางกรณีศาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง หรือศาลสถิตยุติธรรมธรรมดาอาจจะถูกกำหนดให้มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการเมืองร่วมกัน เช่น กรณีของตุลาการ 9 คน ในการวินิจฉัยคดี การกระทำความผิดกฎหมายพรรคการเมืองจนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย โดยตุลาการรัฐธรรมนูญชุดนั้นประกอบด้วย ผู้พิพากษาจากศาลสถิตยุติธรรมคือศาลฎีกา ศาลปกครอง เป็นต้น

ในส่วนของความเกี่ยวพันระหว่างศาล และการเมืองการปกครองนั้น แม้ในกรณีของศาลสถิตยุติธรรมก็มีโอกาสเกี่ยวพันกับการเมือง และการปกครองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมีกรณีการวินิจฉัยที่เห็นชัดในประวัติศาสตร์สองกรณีคือ

กรณีแรก คือ เรื่องความชอบธรรม และความถูกต้องตามกฎหมายของการได้มา ซึ่งอำนาจอธิปไตยจากการยึดอำนาจรัฐโดยใช้กำลัง หรือพูดง่ายๆ คือการเป็นรัฏฐาธิปัตย์หลังทำการรัฐประหารสำเร็จ

กรณีที่สอง คือ เรื่องการออกกฎหมายโดยสภานิติบัญญัติ ซึ่งเป็นการออกกฎหมายย้อนหลัง เกี่ยวเนื่องกับคดีอาชญากรสงครามหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การวินิจฉัยของศาลเกี่ยวกับกระบวนการออกกฎหมายก็คือการเกี่ยวพันกับกระบวนการนิติบัญญัติหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง ส่วนกรณีแรกที่เกี่ยวกับการเป็นรัฐาธิปัตย์นั้นคือการเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสถาปนาอำนาจรัฐ หรืออำนาจอธิปไตยว่ามีความถูกต้องตามกฎหมาย (legality) และมีความชอบธรรม (legitimacy)หรือไม่อย่างไร

ในกรณีคดีเกี่ยวกับอาชญากรสงครามนั้นเกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง โดยสหรัฐฯ และพันธมิตรได้ตั้งศาลพิเศษขึ้น เพื่อพิจารณาคดีการกระทำความผิดของพวกนาซีเยอรมนี และฟาสซิสต์อิตาลี ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามโดยศาลที่ตั้งขึ้นมาพิเศษที่นูเรมเบิร์ก และที่โตเกียว ในกรณีประเทศไทยนั้นเนื่องจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ และสหรัฐฯ โดยลงนามเป็นพันธมิตรร่วมรบกับญี่ปุ่น จึงถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงคราม ได้มีการออกพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรสมัย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรตราพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 ซึ่งมีผลย้อนหลัง

กล่าวคือ การกระทำที่เกิดก่อนตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ถือเป็นความผิดด้วย อันเป็นลักษณะที่ขัดกับปรัชญาหลักกฎหมายทั่วไปที่ไม่ให้มีการออกกฎหมายย้อนหลังลงโทษผู้กระทำการใด ในกรณีของศาลที่นูเรมเบิร์ก และที่โตเกียวก็มีผู้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าผิดหลักการ แต่ในกรณีของไทยนั้นเมื่อคดีมาถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาได้ตัดสินตามคำพิพากษาที่1/2489 ว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 เฉพาะที่ลงโทษก่อนวันที่ใช้กฎหมายนี้เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นโมฆะ โดยมีเหตุผลว่า

ก) ศาลเป็นผู้ใช้กฎหมายจึงต้องดูว่าอะไรเป็นกฎหมาย หรือเป็นกฎหมายที่ใช้ได้หรือไม่ ซึ่งการวินิจฉัยเช่นนี้เป็นอำนาจของศาล

ข) ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมี 3 อำนาจคือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต่างย่อมมีอำนาจยับยั้ง และควบคุม ซึ่งกัน และกัน อันเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเมือง เมื่อกฎหมายถูกตราออกมาโดยฝ่ายนิติบัญญัติอย่างไม่ถูกต้องหรือขัดรัฐธรรมนูญ ศาลย่อมมีอำนาจแสดงให้เห็นความไม่ถูกต้องนั้นได้

ค) จำเป็นต้องมีอำนาจชี้ขาดว่ากฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ มิฉะนั้นข้อความที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดก็จะไม่มีผล จะให้สภานิติบัญญัติ ซึ่งเป็นผู้ออกเองชี้ขาดเองย่อมไม่ถูกต้อง และให้อำนาจฝ่ายบริหารชี้ขาดก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่ใช่เรื่องของฝ่ายบริหาร

นี่คือเหตุผล 3 ข้อใหญ่ๆ ที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้โดยมีเนื้อหาสาระที่สำคัญโดยสังเขปเบื้องต้น ข้อสังเกตคือ การวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยมิได้มีแนววินิจฉัยแนวเดียวกับคดีอาชญากรสงคราม โดยตุลาการ 9 คนอ้างว่าแม้จะเป็นกฎหมายย้อนหลัง “แต่ไม่ใช่กฎหมายอาญา” ซึ่งมีนักกฎหมายจำนวนไม่น้อยถกเถียงว่า แม้กฎหมายแพ่งหรือกฎหมายเกี่ยวกับความผิดทางการเมืองก็จะออกกฎหมายให้มีผลการลงโทษย้อนหลังไม่ได้เช่นเดียวกัน ประเด็นนี้คงถกเถียงกันได้อีกนาน

แต่ที่สำคัญก็คือ คำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าวนั้นมีผลทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้เห็นว่าฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง และฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองเช่นเดียวกัน ไม่สามารถจะกระทำอะไรได้ตามอำเภอใจ การวินิจฉัยของศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสถิตยุติธรรมจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยนัยนี้

ส่วนกรณีที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตย และการเป็นรัฏฐาธิปัตย์นั้น กรณีที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มทางการเมืองที่ช่วงชิงอำนาจกัน โดยมีการรัฐประหารเกิดขึ้น และผู้กระทำการยึดอำนาจรัฐได้ สามารถควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองได้ ทำให้นำไปสู่การอ้างได้ว่าเมื่อความเป็นจริงทางการเมืองมีว่า เมื่อคณะรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจสามารถดำรงอำนาจอยู่ได้ตามปกติวิสัย และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ก็ต้องถือว่าเป็นรัฐบาลตามความเป็นจริง แต่กระบวนการช่วงชิงอำนาจโดยใช้กำลังจนฝ่ายที่ครองอำนาจรัฐอยู่เดิมต้องสูญเสียอำนาจไปนั้นเกิดคำถามที่สำคัญเรื่องความถูกต้อง และความชอบธรรม คำถามก็คือ การใช้กำลังเข้าช่วงชิงอำนาจรัฐที่มีอยู่เดิมนั้นเป็นอำนาจที่ถูกต้องหรือไม่อย่างไร และผู้ใช้อำนาจนั้นจะถือเป็นรัฏฐาธิปัตย์หรือเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องได้หรือไม่

แง่มุมของกฎหมาย ถ้ามีกฎกติกา เช่น การปกครองที่มาจากการเลือกตั้งดำรงอยู่ยาวนานจนกลายเป็นประเพณีเช่นของอังกฤษ และสหรัฐฯ และก็มีการทำให้ประเพณีดังกล่าวนั้นมีความถูกต้องอีกโสตหนึ่งด้วยตัวบทกฎหมาย และความมีเหตุมีผลอันเป็นที่ยอมรับ ก็จะสอดคล้องกับความชอบธรรมของอำนาจของ


แม็กซ์ เวเบอร์ คือ อำนาจประเพณี (traditional authority) 


เช่น การสืบเชื้อสายการเป็นกษัตริย์จากพ่อไปสู่ลูกอันประเพณีอันยาวนาน ก็ถือว่าลูกมีอำนาจ และความชอบธรรมตามประเพณี

ส่วนอำนาจด้านกฎหมาย และความถูกต้องนั้น เช่น มีการเลือกตั้ง และได้ชัยชนะการเลือกตั้ง ตัวอย่างเช่นประธานาธิบดีอเมริกา ผู้สมัครรับเลือกตั้งก็จะได้เป็นประธานาธิบดีอันเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย และการมีเหตุมีผลอันเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม (legal-rational authority)

แต่เมื่อใดก็ตามที่อำนาจตามประเพณี และความมีเหตุมีผลนั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ก็อาจเกิดการแย่งอำนาจกันจนบางครั้งเกิดสงครามกลางเมืองแยกเป็นสองรัฐ หรือรัฐบาลเดิมจำกัดตัวเองอยู่ในพื้นที่โดยยังไม่ล้มจากการเป็นรัฐบาล เช่น ในกรณีที่จีนคณะชาติหนีไปอยู่ที่เกาะไต้หวัน หรือบางครั้งรัฐบาลเดิมอาจจะไปตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นที่นอกประเทศ (อ่านต่อพฤหัสฯ หน้า)

ขขขขขขขขขขขขขข

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ทำให้เกิดปัญหาว่ากลุ่มใดเป็นรัฏฐาธิปัตย์หรือรัฐบาลที่แท้จริง ซึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุคใหม่มักจะรอดูสถานการณ์จนฝุ่นจางลง และดูจากความเป็นจริง ในกรณีของจีนแผ่นดินใหญ่นั้นสหรัฐฯ ไม่ยอมรับรองเป็นเวลานาน จนกระทั่งเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 40 ปี สหรัฐฯ จึงรับรองจีนแผ่นดินใหญ่แทนจีนไต้หวัน ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองการเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของจีนคอมมิวนิสต์ โดยมองจากความเป็นจริงว่าสามารถยึดครองพื้นที่ได้ และสร้างระเบียบการเมืองขึ้นใหม่ (a new political order) โดยมีคุณสมบัติของการเป็นรัฐครบถ้วน คือ มีประชากร มีอาณาเขตที่ดิน และมีรัฐบาลที่สามารถรักษากฎหมายความเป็นระเบียบ (law and order) ภายในประเทศได้ ดังนั้น ถ้ากลุ่มที่ยึดอำนาจรัฐได้มีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาแล้วก็ต้องถือว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ยกเว้นแต่สถานการณ์ยังก้ำกึ่งอยู่ เช่น อยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง มีลักษณะอนาธิปไตย

ในทางรัฐศาสตร์นั้นอาจถือเอาความเป็นจริงมากำหนดเป็นความยอมรับทางการเมือง แม้จะไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม ซึ่งกรณีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากที่จะรับสำหรับคนที่มีหลักการมั่นคง เพราะสิ่งที่ผิดย่อมจะผิด จะกลายเป็นถูกไม่ได้ ถ้ายอมรับสิ่งที่ผิดมาเป็นสิ่งที่ถูกก็เป็นการยอมรับอำนาจดิบ (raw power) ซึ่งเป็นระยะต้นของการตั้งรัฐ โดยคนที่แข็งแรงที่สุดในสังคมที่คนอื่นเกรงกลัวจะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ และสถาปนาความเป็นรัฐ และครองความเป็นรัฏฐาธิปัตย์โดยคนไม่กล้าขัดขืน การสนับสนุนรัฐเช่นนี้เป็นการสนับสนุนจากความกลัว (fear) ไม่ใช่เกิดจากการยอมรับตามข้อตกลงสัญญาประชาคม (social contract)

อย่างไรก็ตาม เมื่อความเป็นจริงเป็นตัวกำหนด และ เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นอนาธิปไตย และ เพื่อให้สังคมดำเนินต่อไปได้ ทั้งประชาชน และผู้เกี่ยวข้อง ก็ต้องยอมรับสภาพดังกล่าวเพราะไม่มีทางเลือก โดยหวังว่าถึงจุดๆ หนึ่งความถูกจ้องตามกฎหมาย และความมีเหตุมีผล หรือแม้พัฒนาไปสู่ความเป็นประเพณีก็จะตามมา เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว มีคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่จะขอยกมาให้พิจารณาประกอบ

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1153-1154/2495 :

“…การล้มล้างรัฐบาลเก่าตั้งเป็นรัฐบาลใหม่โดยใช้กำลังนั้นในตอนต้นอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายจนกว่าประชาชนจะได้ยอมรับนับถือแล้ว เมื่อเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง คือหมายความว่าประชาชนได้ยอมรับนับถือแล้ว ผู้ก่อการกบฏล้มล้างรัฐบาลดังกล่าวก็ต้องเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 102…”

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2496 :

“…ข้อเท็จจริงได้ความว่าในพ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศได้เป็นผลสำเร็จ การบริหารประเทศชาติในลักษณะเช่นนี้ คณะรัฐประหารย่อมมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง แก้ไขยกเลิก และออกกฎหมายตามระบบแห่งการปฏิวัติ เพื่อบริหารประเทศชาติต่อไป มิฉะนั้นประเทศชาติจะตั้งด้วยความสงบไม่ได้ ดังนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2490 จึงเป็นกฎหมายอันสมบูรณ์…”

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512-1515/2497 :

“…คำว่า “รัฐบาล” ตามที่กล่าวไว้ในกฎหมายลักษณะอาญานั้น ไม่มีบทวิเคราะห์ศัพท์ไว้ แต่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแปลว่า “องค์การปกครองบ้านเมือง…รัฐบาลที่โจทก์หาว่าพวกจำเลยจะล้มล้างนั้นเป็นรัฐบาลที่ได้ตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในขณะนั้นคือรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้ประกาศใช้ในกรณีที่มีการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่ดำรงอยู่ก่อน รัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ ได้เข้าครอบครอง และบริหารราชการแผ่นดินด้วยความสำเร็จเด็ดขาด และรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศไว้ได้ และตลอดมาเป็นที่ยอมรับนับถือกันทั่วไปว่าเป็นรัฐบาลอันสมบูรณ์มาช้านานจนบัดนี้ ศาลไม่เห็นมีเหตุใดที่จะไม่ถือว่าเป็นรัฐบาลอันไม่ชอบธรรมตามความเป็นจริง อันปรากฏประจักษ์แจ้งอย่างชัดเจน”

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1662/2505 :

“ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อในพ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติได้ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งบังคับประชาชนก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย แม้พระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงตราออกมาด้วยความแนะนำ และยินยอมของสภาผู้แทนราษฎรหรือสภานิติบัญญัติของประเทศก็ตาม ดังนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2496 ดังนั้นประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 (บุคคลอันธพาล) ซึ่งประกาศคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติบังคับแก่ประชาชนดังกล่าวข้างต้นเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในการปกครองเช่นนั้นได้…”

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2523 :

“…แม้จะมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยออกประกาศใช้แล้วก็ตาม แต่ก็หาได้มีกฎหมายยกเลิกประกาศหรือคำสั่งคณะปฏิวัติหรือคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินไม่ ประกาศหรือคำสั่งนั้นจึงยังคงเป็นกฎหมายใช้บังคับอยู่…” จาก “ความคิดของหยุด แสงอุทัย ในปรัชญากฎหมาย” http://www.sameskybooks.org/2008/04/05/thai-legal-philosophy
จากที่กล่าวมาเบื้องต้นจะเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลเกี่ยวพันโดยตรงกับการเมือง คือ การยอมรับความเป็นรัฐบาลของกลุ่มที่ยึดอำนาจได้สำเร็จจากการรัฐประหาร ซึ่งเท่ากับยอมรับความเป็นรัฏฐาธิปัตย์เนื่องจากความสามารถในการคุมอำนาจรัฐได้

คำวินิจฉัยที่ยกมาให้พิจารณานั้น ย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันโดยเฉพาะระหว่างหลักการกับความเป็นจริง ถ้ายอมรับอำนาจจากการใช้กำลังก็เท่ากับยอมรับว่าอำนาจเป็นธรรม (might is right) แต่ถ้าไม่ยอมรับก็เท่ากับการเปิดประตูไปสู่ความเป็นอนาธิปไตย (anarchy) จนนำไปสู่กลียุค และสงครามกลางเมืองได้ กรณีนี้จึงไม่ใช่กรณีที่มีลักษณะขาว และดำ

ประเด็นที่ว่า ศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นองค์กร และกลุ่มบุคคลที่เชี่ยวชาญทางกฎหมาย มีภารกิจในการผดุงไว้ ซึ่งความยุติธรรมด้วยการพิจารณาอรรถคดี มีบทบาทในทางการเมือง และการปกครองด้วยหรือไม่ ก็เห็นได้ชัดว่าจากคำวินิจฉัยที่กล่าวมาเบื้องต้นย่อมส่งผลในทางการเมือง และการปกครองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้อาจจะขยายความคำตอบจากการตีความในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะปี 2540 หรือ 2550 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”

ซึ่งในกรณีของรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้มีการกล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ 3 อำนาจ รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (popular sovereignty) อำนาจดังกล่าวแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นผ่านสามสถาบันหลักเบื้องต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ศาล ซึ่งได้แก่ศาลสถิตยุติธรรม และศาลอื่นทั้งที่เป็นศาลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง หรือไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองก็ตาม ต่างอยู่ในอำนาจที่สามนี้ทั้งสิ้น ภารกิจของศาลจึงมีสองส่วนด้วยกัน ส่วนที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวเนื่องกับอรรถคดี และส่วน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตย

การวินิจฉัยคดีโดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองหรือตัวนักการเมือง ซึ่งผลการวินิจฉัยจะส่งผลกระทบต่อการครองอำนาจรัฐรวมทั้งระบบการเมืองการปกครอง ย่อมจะมีลักษณะที่เป็นการเมืองการปกครองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การวินิจฉัยคดี เช่น คดีการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการแจ้งทรัพย์สินก็ดี การฉ้อราษฎร์บังหลวงก็ดี ฯลฯ แม้จะไม่ใช่คดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงแต่ก็ส่งผลต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือส่งผลต่อการเมืองการปกครอง

ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพราะถ้าการวินิจฉัยอรรถคดีตามปกติ ซึ่งไม่ส่งผลต่อการเมืองการปกครองนั้น ผู้พิพากษาจะต้องยืนตามหลักฐาน ความมีเหตุมีผลอื่นๆ แต่ในกรณีเรื่องที่มีผลหรือนัยทางการเมือง ข้อพิจารณาที่เกิดขึ้นนอกจากจะเป็นกรณีที่เกี่ยวกับคดีล้วนๆ แล้วยังอาจจะมีประเด็นที่เกี่ยวกับนัยทางการเมือง คำถามก็คือ ภารกิจของศาลหรือตุลาการในการพิจารณาคดีในคดีดังกล่าวนี้จะรวมไปถึงการพิจารณาบทบาทที่มีตามมาตรา 3 นี้ด้วยหรือไม่ หรือจะจำกัดอยู่ในกรอบของการพิจารณาเฉพาะคดีล้วนๆ โดยไม่คำนึงถึงนัยทางการเมืองที่จะตามมาไม่ว่าจะบวกหรือลบก็ตาม ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญ และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้พิพากษาเฉพาะบุคคล

คำวินิจฉัย ซึ่งมีนัยทางการเมือง และการปกครองในคดีที่เกี่ยวกับการเมืองโดยตรงหรือโดยอ้อม หรือเกี่ยวกับนักการเมือง หรือเกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม หลักการใหญ่ของผู้พิพากษา และตุลาการก็คือ จะต้องธำรงไว้ ซึ่งความยุติธรรมอย่างเคร่งครัด นี่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด ซึ่งเป็นประเด็นที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสย้ำถึงความสำคัญของความยุติธรรมว่า

“.....ท่านก็เป็นผู้ที่เป็นประกันของความยุติธรรมของศาล และเป็นผู้จะสามารถรักษาความยุติธรรมให้บ้านเมือง ถ้าทำได้แล้วท่านก็จะเป็นคนที่ดี เป็นคนที่ช่วยบ้านเมืองให้อยู่ได้ ให้ปลอดโปร่งได้ ขอให้ท่านได้พยายามทำ เพื่อที่ให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป มีขื่อมีแปก็หมายความว่ามีความสุข ความยุติธรรม

ถ้าท่านรักษาความยุติธรรม ได้แท้ๆ ท่านจะเป็นผู้ที่ได้ทำ ได้ช่วยให้บ้านเมืองอยู่ได้ ถ้าไม่มีความยุติธรรมบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ เพราะคนก็จะสงสัยอยู่เสมอ จะต้องไม่ให้มีความสงสัยในบ้านเมือง แต่บ้านเมืองต้องมีแต่ความยุติธรรม ฉะนั้นก็ขอร้องให้ท่านได้พยายาม และรักษาความยุติธรรมแท้ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่เชื่อว่า ท่านตั้งใจจะทำ ก็ขอให้ท่านตั้งใจรักษาความยุติธรรมในบ้านเมือง การรักษาความยุติธรรมในบ้านเมืองนี้ก็เหมือนกับง่ายๆ คือ ท่านเป็นผู้พิพากษา ถ้ารู้จักความเป็นผู้พิพากษาสักนิดเดียวก็จะไม่ใช่เรื่องเสียหาย

ฉะนั้นขอให้ท่านรักษาความยุติธรรมในบ้านเมืองตามความรู้ที่ท่านได้ฝึกฝนมาด้วยการเรียน และการปฏิบัติ แต่ว่า ถ้าทำได้ก็จะเป็นเรื่องดี แต่ก็เป็นเรื่องที่ยาก ถ้าทำได้ท่านก็จะเป็นวีรบุรุษของบ้านเมืองเป็นผู้ที่รักษาความยุติธรรม ฉะนั้นขอให้ท่านวางตัวเป็นวีรบุรุษรักษาความเรียบร้อยของบ้านเมือง...... ขอให้ท่านรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของศาลของระบบยุติธรรม ......”

จาก ข่าวศาลยุติธรรม ปีที่ 9 ฉบับที่ 84 (วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2551)
Read more ...