วันที่ 5 พ.ย. 2552 ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายสมชาย พฤฒิกัลป์ ผอ.สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการครม. (สลค.)
ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ตนไม่ได้พูดว่าทาง สลค.ได้ยกร่างคำกราบบังคมทูลเรื่องการถอดยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไว้รอแล้ว ไม่ทราบว่าสื่อมวลชนไปจับประเด็นแบบนั้นได้อย่างไร เพราะตามแนวทางปฏิบัติโดยทั่วไปเวลาที่มีเรื่องเข้ามาแล้ว ทางสลค. จะทำหนังสือกราบเรียนนายกฯ ภายใน 3 วันทำการ เว้นแต่เป็นเรื่องที่มีปัญหาเพราะขาดความชัดเจน หรือขาดเอกสารต่างๆ ก็อาจจะใช้เวลาดำเนินการเกิน 3 วัน ดังนั้นเมื่อได้รับเรื่องจาก สตช. ก็จะทำหนังสือกราบเรียนนายกฯภายใน 3 วันทำการ พร้อมกันนี้ก็จะทำหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการ เพื่อที่หากนายกฯ เห็นชอบแล้ว สลค. จะได้ส่งเรื่องให้สำนักราชเลขาธิการเพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ได้เลย
“กรณีการถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นไปตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ หรือไปเร่งอะไร แต่ขณะนี้สลค. ยังไม่ได้รับเรื่องจากสตช.เลย ดังนั้นสลค.จึงไม่ได้ดำเนินการใดๆ หรือตั้งเรื่องรออะไรทั้งสิ้น”ผอ.สำนักอาลักษณ์ฯกล่าว
เมื่อถามว่า สตช. ระบุว่ามีนายตำรวจ 15 รายที่ถูกเสนอให้ถอดยศในวาระต้นปี 2552 รวมถึงพ.ต.ท. ทักษิณด้วย ตามกระบวนการต้องพิจารณาในคราวเดียวกันหมดหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ทำพร้อมกันหมด เพราะสตช. จะส่งเรื่องมาให้เป็นชุด หากนายตำรวจทั้ง 15 รายเข้าเกณฑ์หมด ก็ต้องถูกเสนอให้ถอดยศหมด รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ
ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนม.ค.2552 เป็นต้นมา มีการถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ผู้พิพากษาประมาณ 20 ราย
นายสมชาย กล่าวว่า ขอยืนยันอีกครั้งว่ากระบวนการทั้งหมดไม่ใช่อำนาจของสลค. หรือสตช. เพราะการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ถือเป็นพระราชอำนาจ
สลค. เพียงแต่ถวายความเห็นประกอบพระบรมราชวินิจฉัย ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น และเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์และถอดยศ สลค. ก็จะนำเรื่องประกาศลงราชกิจจานุเบกษาต่อไป ซึ่งถือเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น