ศาลยกฟ้องคดี ส.ว.ฟาดกันกันในสภาฯ ระบุ ป้องกันตัวด้วยเหตุสำคัญผิด

14/5/52

ศาลยกฟ้องคดี ส.ว.ฟาดกันกันในสภาฯ ระบุ ป้องกันตัวด้วยเหตุสำคัญผิด

ศาลแขวงดุสิต ยกฟ้อง คดี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีต สว.กทม. จำเลยในคดีชกนายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ อดีตสว.แม่ฮ่องสอน กลางที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2547 โดยให้เหตุผลว่า การป้องกันตัว ด้วยเหตุสำคัญผิด เพราะเห็นว่าคู่กรณีเดินเข้ามาหาก่อน

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่นายอดุลย์ลุกขึ้นอภิปราย กรณีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร อภิปรายความจริงเหตุการณ์ที่ อ.ตากใบ โดยใช้เวลาอภิปรายนานเกินไป ซึ่ง พล.อ.ประทิน ลุกขึ้นประท้วงว่า เป็นสิทธิ์ของนายเจิมศักดิ์


ทำให้นายอดุลย์ไม่พอใจจึงพูดถึงเรื่องส่วนตัว และบอกว่า จะเปิดเผยเรื่องยาเสพติด จากนั้นได้เดินเข้าไปหา พล.ต.อ.ประทิน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่ พล.ต.อ.ประทิน จะชกเข้าที่ใบหน้านายอดุลย์ จนสมาชิกคนอื่นๆ ต้องเข้าไปช่วยห้ามและแยกทั้ง 2 คนออกจากกัน
Read more ...
10/5/52

ประวัติความเป็นมาของสถาบันอนุญาโตตุลาการ

สถาบันอนุญาโตตุลาการ จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2533 เดิมใช้ชื่อว่า สำนักงานอนุญาโตตุลาการ เป็นหน่วยงานระดับกอง สังกัดสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม ต่อมาเมื่อมีการแยกศาลยุติธรรมออกจากกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2543 โดยศาลยุติธรรมมีประธานศาลฎีกาเป็นผู้นำของศาลยุติธรรม และมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้บริหารสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการอิสระ มีฐานะเป็นนิติบุคคล ทำให้ในปัจจุบันสถาบันอนุญาโตตุลาการ เป็นกลุ่มงานสังกัดอยู่ในสำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม มีหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังนี้

ดำเนินการส่งเสริมและประสานงานการดำเนินการระงับข้อพิพาททางแพ่งและพาณิชย์โดยการประนอมข้อพิพาทและการอนุญาโตตุลาการ เป็นฝ่ายเลขานุการให้แก่คณะอนุญาโตตุลาการ ในระหว่างการดำเนินกระบวนพิจารณา เช่น เตรียมห้องประชุม การประสานวันว่างเพื่อนัดพร้อมกับทุกฝ่าย การบันทึกคำพยาน การสรุปประเด็น ค้นคว้าข้อกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาหรืออื่นๆ เพื่อทำความเห็ประกอบการพิจารณาทำคำชี้ขาด

ดำเนินการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ดำเนินการขึ้นทะเบียนอนุญาโตตุลาการและผู้ประนอมข้อพิพาท

ดำเนินการอนุญาโตตุลาการที่ศาลส่งมา

ให้คำปรึกษาและความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการ

ปฏิบัติงานร่วมกับ หรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย

ข้อแนะนำในการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการ

ในการให้คำปรึกษาและความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการแก่หน่วยงานราชการ หน่วยงานเอกชน และประชาชนทั่วไป ผู้ให้คำปรึกษาควรทราบข้อมูล และภาพรวมของการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ดังนี้

นอกจากการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการเจรจาต่อรอง การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และการดำเนินการทางศาลแล้ว ยังมีการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการอีกทางหนึ่งที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะดำเนินการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นได้ แต่การระงับข้อพิพาท โดยวิธีอนุญาตุลาการจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคู่สัญญามีการตกลงที่จะมอบข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างกันให้บุคคลที่สาม หรือที่เรียกว่า "อนุญาโตตุลาการ" เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด

การระงับข้อพิพาททางการค้าโดยวิธีอนุญาโตตุลาการอาจกระทำได้ตั้งแต่เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้น โดยผู้คัดค้านยังมิได้ฟ้องคดีต่อศาลหรืออาจกระทำได้แม้ในขณะที่ข้อพิพาทเป็นคดีในศาลแล้วหรืออาจดำเนินการโดยสถาบันอนุญาโตตุลาการที่คู่พพิพาทตกลงกันใช้บริการ ทำให้การอนุญาโตตุลาการสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภทโดย อาจแบ่งตามขั้นตอนในการระงับข้อพิพาทว่าเป็นคดีอยู่ในศาล หรือแบ่งตามวิธีการระงับข้อพิพาทว่าดำเนินการ

Read more ...

อนุญาโตตุลาการ

10/5/52

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อนุญาโตตุลาการ (arbitrator) คือ

บุคคลคนเดียวหรือหลายคนที่คู่กรณีตกลงเสนอข้อพิพาททางแพ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือจะเกิดขึ้นในอนาคตให้ชี้ขาด

เนื้อหา

1 ประวัติ

2 ความหมาย

3 การอนุญาโตตุลาการ

4 อ้างอิง

ประวัติ

การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการเริ่มมีขึ้นมายาวนานตามวิวัฒนาการของกฎหมาย ดังหลักฐานที่ปรากฏตั้งแต่ 

สมัยจักรวรรดิโรมัน โดยในกฎหมายสิบสองโต๊ะได้บัญญัติให้มีคนกลางเป็นอนุญาโตตุลาการ ทำหน้าที่ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินในกฎหมายอังกฤษ 

ความจำเป็นในการที่ต้องมีการควบคุมการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการได้เริ่มขึ้น

ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23 โดยในประเทศอังกฤษได้มีการกำหนดวิธีดำเนินงานของอนุญาโตตุลาการไว้ใน 

พระราชบัญญัติว่าด้วยการอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2240

ต่อมาใน พ.ศ. 2397 ได้มีการรวบรวมหลักกฎหมายเกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการที่กระจัดกระจายอยู่ในกฎหมายต่าง ๆ มาไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความ และเมื่อจำนวนข้อพิพาททางแพ่งมากขึ้นตามพัฒนาการของกิจการพาณิชย์ต่าง ๆ

รัฐสภาอังกฤษจึงตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการอนุญาโตตุลาการขึ้นอีกครั้งใน พ.ศ. 2432

มีเนื้อหาเป็นการประมวลหลักกฎหมายทั่วไปเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการไว้ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวก็ได้มีการแก้ไขปรับปรุงเรื่อยมา

ส่วนในประเทศไทย ปรากฏหลักฐานว่า ใน

กฎหมายตราสามดวงมีการบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งตระลาการโดยคู่ความ ซึ่งแตกต่างจากตระลาการที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และต่อมาใน

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ประกาศใช้ใน พ.ศ. 2477 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เรื่องอนุญาโตตุลาการในศาลและนอกศาลไว้ กับ

ทั้งได้มี

การตราพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 ขึ้นเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดนอกศาล

ความหมาย

อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ทำหน้าที่ระงับข้อพิพาททางแพ่งประเภทหนึ่งซึ่งอาจแบ่งตามลักษณะของกระบวนการระงับข้อพิพาทได้ดังต่อไปนี้

1. ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (conciliator)

คือ บุคคลที่สามซึ่งคู่กรณีพิพาทตกตลงกันให้เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อให้เกิดการประนีประนอมยอมความกัน โดยคู่กรณีพิพาทแต่ละฝ่ายต่างยินยอมผ่อนผันข้อเรียกร้องของตน และแต่ละฝ่ายจะได้รับสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแทน ในกระบวนการระงับข้อพิพาทนั้นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมีหน้าที่เพียงไกล่เกลี่ยให้มีการประนีประนอมยอมความกัน ไม่มีอำนาจบังคับหรือตัดสินการใด ๆ ในการเจรจานั้น แต่อาจเสนอแนวทางในการตกลงกันของคู่กรณีพิพาทได้

2. อนุญาโตตุลาการ (arbitrator)

คือ บุคคลที่สามซึ่งอาจเป็นบุคคลเดียวหรือหลายคนที่คู่กรณีพิพาทตกลงกันให้ทำหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาเรียกว่า "สัญญาอนุญาโตตุลาการ" ในการดำเนินกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการจะเปิดโอกาสให้คู่กรณีพิพาทแสดงข้อเรียกร้องและข้อต่อสู้พร้อมทั้งนำพยานหลักฐานต่าง ๆ มาสืบเพื่อรับฟังข้อเท็จจริง ตลอดจนสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาตามวัน เวลา และสถานที่ตามที่คู่กรณีพิพาทตกลงกันได้ รวมทั้งคู่กรณีพิพาทสามารถตกลงกันกำหนดวิธีพิจารณาโดยไม่ขัดจ่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชนเพื่อใช้ในการดำเนินกระบวนพิจารณาแก่ข้อพิพาทได้ และเมื่อรับฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในการดำเนินกระบวนพิจารณาแล้ว อนุญาโตตุลาการจึงมีคำวินิจฉัยข้อพิพาทได้

3. ตุลาการ ( justice) หรือผู้พิพากษา (judge)

คือ ผู้มีหน้าที่ตามที่กฎหมายวิธีพิจารณาความบัญญัติให้ชี้ขาดข้อพิพาทใด ๆ ด้วยการมีคำสั่งหรือคำพิพากษาคดีที่มาสู่ศาลในกรณีที่คู่ความไม่อาจตกลงไกล่เกลี่ยหรือประนอมข้อพิพาทกันได้ นอกจากนี้ ในกรณีพิพาทซึ่งไม่เป็นกรณีอันต้องยื่นต่ออนุญาโตตุลาการตามที่กฎหมายกำหนด และคู่ความได้ยื่นฟ้องศาลแล้ว ตุลาการหรือผู้พิพากษาอาจไกล่เกลี่ยให้คู่ความตกลงประนีประนอมยอมความกันในศาลหรืออาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการในศาลตามที่กฎหมายกำหนดไว้มาใช้บังคับก็ได้ ตามแต่เห็นสมควร

การอนุญาโตตุลาการ

การอนุญาโตตุลาการ (arbitration) เป็นกระบวนการระงับข้อพิพาททางแพ่ง โดยคู่กรณีตกลงกันไว้ด้วยการทำเป็นสัญญาเรียกว่า "สัญญาอนุญาโตตุลาการ" (arbitration agreement) มีใจความเป็นการเสนอข้อพิพาทของตนที่เกิดขึ้นหรือจะเกิดขึ้นในอนาคตให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ไม่ว่าจะมีการกำหนดตัวผู้เป็นอนุญาโตตุลาการไว้ในคราวนั้นด้วยหรือไม่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการจึงเกิดขึ้นด้วยความยินยอมพร้อมใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายด้วยการมอบอำนาจให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยข้อพิพาทดังกล่าว ส่วนการมอบอำนาจเช่นว่าอาจกระทำกันโดยตกลงกันในสัญญาอนุญาโตตุลาการนั้นเลยหรือในสัญญาอื่น ๆ ต่างหาก เช่น

สัญญาที่คู่สัญญานั้นตกลงทำขึ้นเพื่อกิจการระหว่างกันและจะถือว่าข้อสัญญาต่างหากนี้นับเข้าเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการเช่นกัน

Read more ...

ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินคดีแพ่ง

10/5/52
ความหมายของคดีแพ่ง
คดีแพ่ง คือ คดีที่มีการโต้แย้งสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง เช่น การฟ้องให้ผู้กู้ชำระเงินตามสัญญากู้ หรือการฟ้องเรียกให้ผู้ละเมิดชดใช้ค่าเสียหาย เป็นต้น

ซึ่งจะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์ของการฟ้องมุ่งให้จำเลยชำระเงิน มิใช่มุ่งที่จะให้จำเลยต้องถูกลงโทษ เช่น จำคุกดังเช่นคดีอาญา
คดีแพ่ง นอกจากจะเป็นเรื่องพิพาทกันดังกล่าวแล้ว อาจเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้บุคคลใช้สิทธิทางศาลเพื่อรับรองคุ้มครองสิทธิของตน เช่น การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งถือเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท
สิทธิในการฟ้องคดีแพ่ง
บุคคลที่มีสิทธินำคดีแพ่งขึ้นฟ้องร้องต่อศาล จะต้องมีเหตุตามกฎหมายกำหนดไว้ 2 ประการ คือ
1. มีการโต้แย้งสิทธิ หรือ
2. มีความจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล
1. การโต้แย้งสิทธิ หมายถึง การกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกระทบกระเทือนหรือละเมิดต่อสิทธิที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมายของบุคคลอื่น สิทธินี้มิได้หมายถึงสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงสิทธิอื่นๆ ด้วย เช่น สิทธิในชีวิตร่างกาย สิทธิในครอบครัว หรือสิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง
2. การต้องใช้สิทธิทางศาล หมายถึง กรณีที่กฎหมายกำหนดให้การกระทำบางอย่างต้องได้รับอนุญาตหรือได้รับการรับรองจากศาลก่อน เช่น การขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย การขอเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ การขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ การขอให้ศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ เสมือนไร้ความสามารถ หรือสาบสูญ หรือการขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นต้น
กรณีเช่นนี้ ผู้ขอไม่ต้องฟ้องใครเป็นจำเลย เพียงแต่ยื่นคำร้องขอต่อศาลเท่านั้นและศาลจะนัดไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง จึงเรียกว่าเป็น "คดีที่ไม่มีข้อพิพาท" ส่วนคดีที่มีการโต้แย้งสิทธิและต้องฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลยนั้นเรียกว่า"คดีมีข้อพิพาท"

ผู้ที่จะฟ้องคดีหรืออาจถูกฟ้องคดีได้ ต้องเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
บุคคลธรรมดา
ได้แก่ มนุษย์หรือคนซึ่งเมื่อมีสภาพบุคคลก็มีสิทธิและหน้าที่ จึงอาจเป็นโจทก์ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นจำเลยได้
อนึ่ง ตำแหน่งหน้าที่ราชการบางตำแหน่งรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการด้วย เช่น ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือผู้ว่าราชการจังหวัดอาจเป็นโจทก์ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นจำเลยได้เช่นกัน
กรณีผู้เยาว์ ถ้าจะฟ้องคดีอาจแยกเป็น 2 กรณี คือ กรณีผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ หรือกรณีผู้เยาว์ฟ้องคดีเองซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน แต่ถ้าผู้เยาว์ถูกฟ้องคดี ผู้แทนโดยชอบธรรมจะต้องเข้าดำเนินคดีแทน
นิติบุคคล เป็นบุคคลทีกฎหมายกำหนดขึ้นให้มีสิทธิและหน้าที่บางประการที่นิติบุคคลจะมีอย่างเช่นบุคคลธรรมดาไม่ได้ การจะเป็นนิติบุคคลได้ต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองไว้ นิติบุคคลได้แก่

บริษัทมหาชนจำกัด บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญ สมาคม มูลนิธิ วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา หน่วยราชการ (กระทรวง ทบวง กรม) รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัย จังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ เป็นต้น
สิ่งที่ไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล เช่น รัฐบาล กลุ่มหรือคณะบุคคล กองมรดก หน่วยราชการที่มีฐานะเป็นกอง สำนักสงฆ์ สุเหร่า อำเภอ ชมรม เป็นต้น ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล ดังนั้น จึงไม่อากเป็นโจทก์ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นจำเลยได้
คำฟ้อง
ยื่นฟ้องที่

1.คดีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นคดีฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์โดยตรง เช่น ฟ้องบังคับจำนอง หรือไถ่ถอนที่ดินขายฝาก ฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกออกจากที่ดิน หรือฟ้องเกี่ยวกับสิทธิหรือประโยชน์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น ฟ้องเรียกค่าเช่าค่าเสียหาย

1.ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือ
2.ศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่

2.คดีเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคล เช่น ฟ้องเรียกเงินกู้ ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ฟ้องผิดสัญญา ฟ้องหย่า ฯลฯ

1. ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
2. ศาลที่มูลคดีเกิด

3. คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

ศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตขณะถึงแก่ความตาย


การฟ้องจะฟ้องที่ศาลใด
1. ดูประเภทของคดีก่อนว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด
2. ดูทุนทรัพย์ของคดีว่าอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดหรือศาลแขวง
คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัด

ศาลจังหวัดมีอำนาจทั่วไปที่จะชำระคดีได้ทุกประเภท ในส่วนของคดีแพ่งมีเงื่อนไขดังนี้
1. คดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์ที่พิพาทเกินกว่า 300,000 บาท
2. คดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น การฟ้องขับไล่
3. คดีที่ไม่มีข้อพิพาท เช่น คดีขอเป็นผู้จัดการมรดก คดีขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครอง คดีขอให้ศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ เป็นต้น

ดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง
ศาลแขวงมีอำนาจชำระคดีเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ในอำนาจของพิพากษาคนเดียว ในส่วนของคดีแพ่ง เป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท
การเตรียมเอกสารในการฟ้องคดีแพ่ง

เอกสารที่ต้องจัดเตรียม เช่น
1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับมูลหนี้ เช่น หนังสือสัญญา หนังสือบอกกล่าวทวงถาม
2. หนังสือมอบอำนาจในกรณีที่มอบให้ผู้อื่นกระทำการแทน
3. รายละเอียดในการคำนวณยอดหนี้
4. ใบแต่งทนายความ
5. บัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของโจทก์
6. สำเนาทะเบียนบ้านหรือแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรของจำเลย ไม่ควรเกิน 1 เดือน (จากฐานข้อมูลการทะเบียน สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย)
7. หนังสือรับรองนิติบุคคล (จากสำนักงานหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์) ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคล


ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่ง
1. ค่าขึ้นศาล
คดีที่มีทุนทรัพย์ ได้แก่ คดีที่โจทก์เรียกร้องโดยมีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น คดีที่มีคำขอเรียกร้องเงินหรือทรัพย์สินซึ่งยังมิได้เป็นของตนจากผู้อื่นมาเป็นของตน โดยจำนวนเงินหรือราคาทรัพย์ที่เรียกร้องนั้นถือเป็นทุนทรัพย์
สำหรับค่าขึ้นศาลในคดีที่มีทุนทรัพย์โจทก์ต้องเสียอัตราร้อยละ 2.50 บาท ของจำนวนทุนทรัพย์ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท

คดีไม่มีทุนทรัพย์ คือ คดีที่โจทก์มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น ขอให้บังคับจำเลยให้กระทำการหรือละเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้อ้างหรือเรียกร้องเป็นจำนวนเงินหรือทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่ง
สำหรับค่าขึ้นศาลในคดีไม่มีทุนทรัพย์โจทก์ต้องเสียเรื่องละ 200 บาท
ในกรณีเป็นคดีมีทุนทรัพย์กับไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกัน ให้คิดค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2.50 บาท ของจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง โดยเป็นเงินอย่างต่ำ 200 บาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
อุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 หรือ 228 เสียค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท

ค่าขึ้นศาลในอนาคต (เกี่ยวกับค่าเช่า ดอกเบี้ย ค่าเสียหาย)
เช่นถ้าไม่ได้ขอดอกเบี้ยก่อนฟ้อง แต่ขอดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคตอีก 100 บาท

ค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้น
ตามปกติศาลจะคำนวณค่าขึ้นศาลเมื่อโจทก์ยื่นฟ้อง แต่ถ้าต่อมามีการแก้ไขคำฟ้องหรือมีเหตุประการอื่นอันทำให้จำนวนทุนทรัพย์เพิ่มขึ้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เพิ่มนั้น

2. ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในคดีแพ่งคำร้อง 20 บาท
คำขอ 10 บาท
คำแถลง - บาท
ใบแต่งทนาย 20 บาท
- ค่าอ้างเอกสารเป็นพยานฉบับละ 5 บาท สูงสุดไม่เกิน 200 บาท
- ค่ารับรองสำเนาเอกสาร โดยผู้อำนวยการสำนักงานศาล 20 บาท
- ค่าใบสำคัญแสดงว่าคดีถึงที่สุด15บาท

3. ค่าใช้จ่ายอื่น
ในการดำเนินคดีแพ่ง คู่ความอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก เช่น ค่าส่งหมาย ค่าทำแผนที่พิพาท ค่าป่วยการ และค่าพาหนะพยาน ค่าตรวจเอกสารโดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น
การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
กรณีที่โจทก์หรือจำเลยเป็นคนยากจน ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล โจทก์หรือจำเลยอาจยื่นคำร้องขออนุญาตยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ เรียกว่าการฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถา ซึ่งขอได้ทุกระดับชั้นศาล
ผู้ขอจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมกับคำฟ้อง คำฟ้องอุทธรณ์ คำฟ้องฎีกา หรือคำให้การ และสาบานตัวต่อเจ้าหน้าที่ศาลว่า ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ศาลจะบันทึกถ้อยคำสาบานเอาไว้ ศาลจะฟังคู่ความทุกฝ่ายโดยไต่สวนก่อนพิจารณาสั่ง
ถ้าศาลอนุญาตให้ฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาทั้งหมด ผู้นั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งรวมถึงเงินวางศาล อันได้แก่เงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่ฝ่ายชนะคดีในศาลล่าง สำหรับการยื่นฟ้องอุทธรณ์ หรือฎีกา
แต่ถ้าศาลอนุญาตให้ฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาเพียงบางส่วน ผู้นั้นจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะส่วนที่ศาลสั่งยกเว้นให้

กรณีจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ หมายถึง กรณีที่จำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การโดยชอบแล้ว จำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายหรือตามคำสั่งศาล และจำเลยมิได้ขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การ ซึ่งตามกฎหมายจะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การทันที
อย่างไรก็ตาม แม้จำเลยจะขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การแล้ว แต่ก็ยังอาจขาดนัดยื่นคำให้การได้ ถ้าศาลไม่อนุญาตขยายระยะเวลาให้ยื่นคำให้การ เนื่องจากไม่มีเหตุผลสมควร
การขาดนัดยื่นคำให้การจะมีได้เฉพาะในศาลชั้นต้นเท่านั้น ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาไม่มีการยื่นคำให้การ ทางแก้สำหรับจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ
- กรณีจำเลยมาศาลก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี ให้จำเลยแจ้งต่อศาลว่าประสงค์จะสู้คดี และขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ยื่นคำให้การ ดังนี้ หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จากนั้นศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่เวลาที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยสามารถแจ้งต่อศาลว่าประสงค์จะสู้คดีเป็นหนังสือหรือแจ้งด้วยวาจาก็ได้ โดยจำเลยอาจมาศาลด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่น หรือแต่งตั้งทนายความเพื่อดำเนินการแทนก็ได้
การขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ศาลต้องสอบถามฝ่ายโจทก์ก่อน หรือหากจำเลยยื่นคำขอเป็นหนังสือ ก็ต้องส่งสำเนาคำขอให้โจทก์ เพื่อให้โอกาสโจทก์คัดค้าน จากนั้นศาลจะพิจารณาสั่งตามรูปคดีไป

- กรณีที่จำเลยมาศาลก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี แต่จำเลยมิได้แจ้งต่อศาลว่าประสงค์จะสู้คดี หรือศาลไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ดังนี้จำเลยมีสิทธิถามค้านพยานโจทก์ที่อยู่ระหว่างการสืบพยานได้ แต่จำเลยไม่มีสิทธินำพยานของตนเข้าสืบ
ข้อควรระวัง กรณีที่จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายหรือศาลกำหนด โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ฝ่ายโจทก์ชนะคดี เพราะเหตุจำเลยขาดนัดภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นกำหนดระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลย มิฉะนั้น ศาลอาจมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ได้
ผลของการจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
1. จำเลยจะนำพยานของตนเข้าสืบไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล หรือพยานเอกสาร
2. จำเลยมีสิทธิถามค้านพยานโจทก์ได้

การขาดนัดพิจารณา
การขาดนัดพิจารณา คือ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาล (ไม่ว่าจะเป็นตัวความหรือผู้มีสิทธิทำการแทนตัวความ เช่น ผู้รับมอบอำนาจและทนายความ) ในวันสืบพยานและไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา

ชนิดของพยานหลักฐาน
1. พยานบุคคล หมายถึง บุคคลที่ไปเบิกความให้ข้อเท็จจริงต่อศาล
2. พยานเอกสาร หมายถึง กระดาษ หรือวัตถุใดๆ ที่ปรากฏตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายซึ่งเป็นการสื่อความหมายนั้นๆ เช่น สัญญากู้ โฉนดที่ดิน
3. พยานวัตถุ หมายถึง วัตถุสิ่งของหรือสัตว์ที่นำมาให้ศาลตรวจ
4. พยานผู้เชี่ยวชาญ หมายถึง พยานที่มาเบิกความให้ความเห็นต่อศาล ในฐานะเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษในวิชาการบางอย่าง

การอ้างพยานเอกสาร
1. การอ้างเอกสารเป็นพยานนั้น ศาลรับฟังเฉพาะต้นฉบับของเอกสาร
เว้นแต่
1. คู่ความทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้อง
2. หาต้นฉบับเอกสารไม่ได้ ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้
3. ต้นฉบับเอกสารอยู่ในความครอบครองของทางราชการ หากมีสำเนาหรือข้อความที่คัดจากเอกสารโดยที่ทางราชการรับรองถูกต้อง ก็ใช้อ้างอิงเป็นพยานได้

2. ฝ่ายที่อ้างเอกสาร ต้องส่งสำเนาเอกสารให้ศาลและคู่ความฝ่ายอื่นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน
3. ฝ่ายที่อ้างเอกสาร ต้องเสียค่าอ้างเอกสารเป็นพยานในศาลชั้นต้นฉบับละ 5 บาท แต่สูงสุดไม่เกิน 200 บาท คำพิพากษาของศาล

คำพิพากษาคำพิพากษาของศาลกฎหมายกำหนดให้ทำเป็นหนังสือแสดงคำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดีและเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น รวมทั้งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วย
ย่อหน้าสุดท้ายของคำพิพากษา จะบอกผลของข้อวินิจฉัย เช่น
"พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 80,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 กันยายน 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท" หรือ "พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ"
การอ่านผลของคดีจากคำพิพากษาชั้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา มีถ้อยคำที่ควรทราบคือ
ยืน หมายถึง เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ทั้งหมด

ยก หมายถึง ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกายกอุทธรณ์หรือฎีกาของคู่ความ เช่น กรณีต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ฎีกา หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
กลับ หมายถึง ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ทั้งหมด
แก้ หมายถึง เห็นด้วยบางส่วน ไม่เห็นด้วยบางส่วน
เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ศาลจะมีคำสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาปฏิบัติตามคำพิพากษา และกำหนดวิธีปฏิบัติไว้ เรียกว่า "คำบังคับ" ศาลมีหน้าที่ออกคำบังคับแก้ผู้แพ้คดีโดยผู้ชนะคดีไม่ต้องร้องขอ หากผู้แพ้คดีมาฟังคำพิพากษาศาลจะออกคำบังคับให้ผู้แพ้คดีลงลายมือชื่อทราบคำบังคับโดยอาจเขียนคำบังคับไว้ที่หน้าสำนวน หากผู้แพ้คดีไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลจะออกคำบังคับและให้เจ้าพนักงานศาลส่งคำบังคับให้ผู้แพ้คดีทราบในภายหลัง
การพิพากษาตามยอมเมื่อฟ้องคดีต่อศาลแล้วคู่ความอาจตกลงกันและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้ โดยมีวิธีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน 2 วิธี คือ การทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาล ซึ่งเป็นการทำสัญญากันเองไม่ผ่านกระบวนพิจารณาของศาล กับการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ซึ่งเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามขั้นตอนและ

กระบวนการของศาล
ถ้าเป็นการตกลงประนีประนอมยอมความกันนอกศาลต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ และขั้นตอนทางศาลคือโจทก์ต้องมาขอถอนฟ้องโดยอ้างว่าตกลงกันได้แล้วซึ่งศาลจะอนุญาตให้ถอนฟ้อง คดีก็เป็นอันเสร็จกันไป หากภายหลังฝ่ายใดไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาก็ต้องฟ้องร้องต่อศาลขอบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นคดีใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ส่วนการตกลงประนีประนอมยอมความกันในศาลเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันได้แล้วขอให้ศาลบันทึกข้อตกลงในแบบพิมพ์สัญญาของศาลหรือคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเอง แล้วขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งย่อมขอให้ศาลบังคับคดีได้ทันทีโดยไม่ต้องฟ้องคดีใหม่
ในช่วงคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ถ้าคู่ความตกลงกันได้ก็อาจทำสัญญาประนีประนอมกันยอมความในศาลกันได้ ถ้าศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเห็นว่าข้อตกลงไม่ขัดต่อกฎหมายก็จะพิพากษาตามยอมให้

การอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกา
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว คู่ความที่ไม่พอใจ อาจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ได้ หรือ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว คู่ความที่ไม่พอใจอาจฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ ข้อโต้แย้งที่คู่ความหยิบยกขึ้นอาจแยกเป็นข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง โดยหลักถ้าเป็นข้อกฎหมายจะไม่มีข้อห้ามในการอุทธรณ์ฎีกา แต่กฎหมายจำกัดสิทธิในการ


อุทธรณ์ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงดังนี้
คดีที่จะอุทธรณ์ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้
ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในแต่ละชั้นศาลต้องเกินกว่า 50,000 บาท (กรณีอุทธรณ์) หรือเกินกว่า 200,000 บาท (กรณีฎีกา)

ถ้าจำนวนทุนทรัพย์ 50,000 บาท หรือ 200,000 บาทพอดี หรือต่ำกว่านั้น มีข้อยกเว้นให้อุทธรณ์ฎีกาได้ โดยต้องให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณารับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์หรือฎีกา หรือได้รับหนังสืออนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาค (กรณีอุทธรณ์) หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ (กรณีฎีกา)
คดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งสภาพบุคคล หรือสิทธิในครอบครัว หรือคดีฟ้องขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ (หรือที่เรียกว่าคดีไม่มีทุนทรัพย์) สามารถอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ยกเว้นคดีฟ้องขับไล่ซึ่งถือเป็นคดีฟ้องปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ หากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท (กรณีอุทธรณ์) หรือไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท (กรณีฎีกา) ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาข้อเท็จจริง
ระยะเวลาอุทธรณ์ฎีกา
คู่ความจะต้องยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้วแต่กรณี


การบังคับคดี
การบังคับคดี หมายถึง วิธีการที่คู่ความผู้ชนะคดีจะดำเนินการเอาแก่ผู้แพ้คดีเพื่อให้ได้ผลตามคำพิพากษา

เนื่องจากฝ่ายแพ้คดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยได้ทราบคำบังคับและระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้เพื่อการปฏิบัติตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีอำนาจที่จะดำเนินการขอให้ศาลบังคับคดีได้

คู่ความฝ่ายชนะคดีอาจร้องขอให้มีการบังคับคดีได้นับแต่วันศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยการบังคับคดีไม่จำเป็นจะต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เมื่อศาลพิพากษาแล้ว แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกา คำพิพากษา แต่หากศาลมิได้มีคำสั่งสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ก็ย่อมดำเนินการบังคับคดีได้

อย่างไรก็ตาม คู่ความฝ่ายชนะคดีจะต้องร้องขอให้มีการบังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด แต่ถ้าผู้ชนะคดีไม่ร้องขอให้ศาลบังคับคดีภายใน 10 ปี การบังคับคดีก็ย่อมสิ้นสุดลง
วิธีการออกหมายบังคับคดีเมื่อได้มีการส่งคำบังคับให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา และระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ล่วงพ้นแล้ว แต่ลูกหนี้ตามคำพิพากษายังขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่ได้พิจารณาและพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี หรืออีกนัยหนึ่งคือขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อดำเนินการบังคับคดี เช่น ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา แล้วนำออกมาขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา

การฟ้องคดีมโนสาเร่และคดีไม่มีข้อยุ่งยากด้วยตนเอง

คดีมโนสาเร่ความหมายของคดีมโนสาเร่
คดีมโนสาเร่ ได้แก่
1. คดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท
2. คดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าเช่า หรืออาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท
วิธีการฟ้องและขั้นตอนการดำเนินคดีการฟ้องคดีมโนสาเร่ทุกเรื่องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ส่วนค่าธรรมเนียมอื่นๆ ยังคงต้อเสียเหมือนคดีแพ่งทั่วไป เช่น ค่าคำร้อง คำขอ ค่าส่งประเด็น เป็นต้น
วิธีการฟ้องคดีมโนสาเร่ โจทก์อาจยื่นคำฟ้องเป็นหนังสือ หรือมาแถลงข้อหาต่อศาลด้วยวาจา
(ฟ้องด้วยวาจา) ก็ได้ หลังจากศาลรับฟ้อง ศาลจะกำหนดวันนัดพิจารณาโดยเร็ว โดยในหมายเรียกต้องระบุประเด็นในคดี เช่น โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องกู้ยืมให้จำเลยชำระเงินกู้คืนโจทก์สี่หมืนบาท เป็นต้น หมายเรียกจะมีข้อความให้จำเลยมาศาลเพื่อการไกล่เกลี่ย ให้การและสืบพยานในวันเดียวกัน และให้โจทก์มาศาลในวันนัดด้วย
หากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจให้ดำเนินคดีต่อไป โดยถือว่าจำเลยขาดยื่นนัดคำให้การ
กรณีโจทก์ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาโดยมิได้ขอเลื่อนคดี หรือเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล ศาลถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีต่อไป และจำหน่ายคดีจากสารบบความได้
คดีมโนสาเร่ ศาลจะเลื่อนคดีได้เฉพาะเมื่อมีเหตุจำเป็นและเลื่อนได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน

ในการสืบพยาน ศาลจะเป็นผู้ซักถามพยานก่อน แล้วจึงให้ตัวความหรือทนายความซักถามเพิ่มเติม การบันทึกคำเบิกความพยาน ศาลจะบันทึกข้อความโดยย่อก็ได้
การดำเนินคดีมโนสาเร่ด้วยตนเอง

1. เตรียมหลักฐานให้พร้อม ได้แก่
1.1 บัตรประจำตัวประชาชน/สำเนาทะเบียนบ้านของโจทก์พร้อมสำเนา;
1.2 หนังสือรับรองจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท (กรณีนิติบุคคลฟ้อง) พร้อมสำเนา
1.3 สำเนาทะเบียนบ้านของจำเลย พร้อมสำเนา
1.4 หนังสือรับรองจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท (ไม่เกิน 1 เดือน) กรณีนิติบุคคลถูกฟ้องเป็นจำเลย พร้อมสำเนา
1.5 หลักฐานในการดำเนินคดี
- คดีกู้ยืม/ค้ำประกัน ได้แก่ สัญญากู้/ค้ำประกัน
- คดีผิดสัญญา ได้แก่ สัญญาหรือบันทึกข้อตกลง
- คดีละเมิด ได้แก่ บันทึกประจำวันของเจ้าพนักงานตำรวจ
- คดีตั๋วเงิน ได้แก่ เช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน

2. ติดต่อนิติกรประจำศาล เพื่อบันทึกคำฟ้องด้วยวาจา ตามแบบ ม. 1 (ส่วนฟ้องแย้งด้วยวาจาใช้แบบ ม. 2)
3. ยื่นบันทึกคำฟ้องพร้อมเอกสารหลักฐาน ชำระเงินค่าธรรมเนียมต่อเจ้าหน้าที่งานรับฟ้อง และกำหนดวันนัดกับเจ้าหน้าที่ศาล
4. ศาลมีหมายเรียกจำเลยมาศาลเพื่อไกล่เกลี่ยโดยกำหนดวันนัดพิจารณา ประมาณ 30 วัน (จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาล) หรือ 45 วัน (กรณีจำเลยมีภูมิลำเนานอกเขตศาล) โดยโจทก์ต้องมาศาลในวันนัดทุกครั้ง
5. กรณีโจทก์จำเลยมาศาลในวันนัด ศาลจะเรียกไกล่เกลี่ยก่อน หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จศาลจึงพิจาณาคดีต่อไป โดยโจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบ
6. กรณีจำเลยไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา ศาลจะถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา และหากจำเลยมิได้ยื่นคำให้การไว้ก่อนด้วยแล้ว ศาลจะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โดยศาลจะสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาคดีทันที และศาลจะออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน โดยโจทก์ไม่ต้องขอ
7. กรณีจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับภายในกำหนด (15 วัน นับแต่วันได้รับคำบังคับ หรือ 30 วันกรณีปิดหมาย) โจทก์จะขอให้ศาลออกหมายต้องบังคับคดีต่อไป คดีไม่มีข้อยุ่งยาก ความหมายของคดีไม่มีข้อยุ่งยาก

คดีไม่มีข้อยุ่งยาก ได้แก่
1. คดีฟ้องขอให้ชำระเงินจำนวนแน่นอนตามตั๋วเงิน ซึ่งการรับรองหรือการชำระเงินตามตั๋วเงินถูกปฏิเสธ
2. คดีฟ้องขอให้ชำระเงินจำนวนแน่นอนตามหนังสือสัญญา ซึ่งปรากฏว่า เป็นสัญญาอันแท้จริง มีความสมบูรณ์และบังคับได้ตามกฎหมาย
วิธีการฟ้องและขั้นตอนการดำเนินคดี
คดีไม่มีข้อยุ่งยากนั้น จะยื่นฟ้องและเสียค่าขึ้นศาลเหมือนคดีแพ่งทั่วไป หากศาลเห็นว่าคดีที่ฟ้องเป็นคดีที่ไม่มีข้อยุ่งยาก ศาลจะมีคำสั่งให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มาใช้และออกหมายเรียกไปยังจำเลย แสดงจำนวนเงินที่เรียกร้อง และเหตุแห่งการเรียกร้อง และให้จำเลยมาศาลและให้การในวันที่กำหนด
ถ้าจำเลยมาศาล ศาลจะจดคำแถลงของจำเลยลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ถ้าศาลพิจารณาคำแถลงและคำให้การของจำเลยแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุต่อสู้คดี ศาลจะพิจารณาพิพากษาคดีโดยเร็ว ถ้าจำเลยมีคู่ต่อสู้อันสมควร ศาลจะพิจารณาโดยไม่ชักช้า และฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายก่อนพิพากษา ถ้าจำเลยได้รับหมายเรียกแล้วไม่มาศาลตามกำหนด ศาลจะสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วศาลจะพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวและพิพากษาคดีโดยเร็ว
Read more ...

ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่ง

10/5/52
ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่งการดำเนินคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีขั้นตอนกำหนดกฎเกณฑ์ ข้อยกเว้นระยะเวลาที่คู่ความจะต้องปฏิบัติค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อนเป็น การยากพอสมควรในการทำความเข้าใจ

การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นั้นอาจเกิดความเสียหายแก่คดีได้ ในที่นี้จึงจะขอกล่าวเฉพาะหลักเกณฑ์ทั่วไปที่ควรรู้เท่านั้น แต่หากจะดำเนินคดีแล้วควรที่จะปรึกษานักกฎหมายหรือทนายความผู้รู้เพื่อความถูกต้องต่อไป

การฟ้องคดีตามกฎหมายมี 2 กรณี (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55) คือ

1. เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง

2. บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล เช่น ร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก หรือร้องขอเลิกนิติบุคคล

ค่าธรรมเนียมศาล การดำเนินคดีแพ่งนั้นปกติคู่ความจะต้องเสียค่าธรรมเนียศาลเสมอ (เว้นแต่ศาลจะอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา) ค่าธรรมเนียมศาลซึ่งคู่ความจะต้องเสีย เช่น ค่าขั้นศาล ค่าคำร้อง ค่าแต่งทนาย ค่าอ้างเอกสาร เป็นต้น

ค่าขึ้นศาล (เสียในเวลายื่นคำฟ้อง)

คดีมีทุนทรัพย์ หมายถึง คดีที่คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์นั้น อาจคำนวนเป็นเงินได้ ได้แก่ คดีที่โจทก์เรียกร้องหรือขอเอาสิ่งใด ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งยังมิได้เป็นของตนเอง จากผู้อื่น เช่น คดีกู้ยืม, เช็ค,, ซื้อขาย, ฯลฯ จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามอัตรา 2.50 บาท ทุกหนึ่งร้อยบาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท เศษของหนึ่งร้อยบาทถึงห้าสิบบาทให้นับ เป็นหนึ่งร้อยบาท ถ้าต่ำกว่าห้าสิบบางให้ปัดทิ้ง

คดีไม่มีทุนทรัพย์ หมายถึง คดีที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยให้กระทำการหรือละเว้นกระทำกาอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของโจทก์โดย โจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างหรือ เรียกร้องเป็นจำนวนเงินหรือทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่ง คดีที่มีคำขอให้ ปลดเปลื้องทุกข์ ์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาได้รวมทั้งคดีไม่มีข้อพิพาทต่าง ๆ เช่น

-คดีขอศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก
-คดีฟ้องขอให้เลิก ห้างหุ้นส่วนจำกัดและชำระบัญชี
-คดีฟ้องขับไล่ (หากจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าเป็นของจำเลย จะกลาย เป็น คดีมีทุนทรัพย์โจทก์ตองเสียค่าขึ้นศาลตามตำนวนทุนทรัพย์พิพาท)
-สำหรับคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้นเสียค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท

การคืนค่าขึ้นศาล เมื่อมีการถอนฟ้อง หรือประนีประนอมยอมความ ศาลจะคืนค่าขึ้นศาลให้ตามระเบียบราชการฝ่ายตุลาการฉบับที่ 7 ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2521 ดังนี้
1. ก่อนสืบพยาน ให้คืนค่าขึ้นศาลไม่เกิน 3 ใน 4แต่มิให้เหลือน้อยกว่า 200 บาท
2. เมื่อมีการสืบพยานไปบ้างแล้ว ศาลอาจคืนค่าขึ้นศาลให้เป็นกรณีพิเศษ เมื่อมีคำแถลงของคู่ความแสดงเหตุผลเป็นกรณี ๆ ไป

การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง

เมื่อโจทก์ได้มีการยื่นฟ้องแล้ว โจทก์ต้องส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย ภูมิลำเนา หรือสำนักทำการงานของจำเลย เพื่อให้จำเลยให้การแก้คดี โดยโจทก์ต้องนำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกแก่จำเลยภายใน 7 วัน นับแต่วันยื่นคำฟ้อง และโจทก์ต้องจ่ายค่าพาหนะและค่าป่วยการให้แก่เจ้าพนักงานศาล หากไม่สามารถส่งให ้ตัวจำเลยได้ ศาลอาจสั่งให้ (1) ปิดหมายเรียกไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลยหรือ
(2) อาจลงโฆษณา โดย วิธีอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควร ซึ่งทางปฏิบัติศาลจะให้ส่งโดยประกาศหนังสือพิมพ์
กรณีข้อ (1), (2) นั้น กฎหมายให้มีผลใช้ได้เมื่อกำหนดระยะเวลา 15 วัน ได้ลงพ้นไปแล้วนับแต่วันปิดหมายหรือประกาศโฆษณา

การยื่นคำให้การ

เมื่อส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยแล้ว จำเลยต้องทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน หรือในกรณีคดีไม่มีข้อยุ่งยาก จำเลยต้องทำคำให้การ เป็นหนังสือยื่นต่อศาลก่อนหรือในวันนัดพิจารณา

- กรณีปิดหมาย, ประกาศหนังสือพิมพ์ ให้มีผลเมื่อพ้น 15 วัน และจำเลยต้องยื่นคำให้การภายใน 15 วัน รวมเป็น 30 วัน

- หากจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ในคดีมโนสาเร่หรือคดีไม่มีข้อยุ่งยากศาลจะมีคำสั่งว่า "จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ" โดยโจทก์ไม่ต้องขอ ส่วนคดีแพ่งทั่วไป การขาดนัดยื่นคำให้การเป็นไปโดยผลของกฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งของศาลอีก

การชี้สองสถาน

ในคดีที่ไม่มีประเด็นข้อพิพาทยุ่งยาก ศาลจะทำการชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่จะวินิจฉัยกันต่อไป

การสืบพยาน

เมื่อโจทกได้ฟ้องและจำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีหรือกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแล้ว ศาลจะนับสืบพยาน โจทก์หรือจำเลยแล้วแต่กรณี การสืบพยานนี้คู่ความ จะนำพยานบุคคลเข้าสาบานตัวและเบิกความต่อศาล และในระหว่างการสืบพยานคู่ความสามารถอ้างเอกสารประกอบการซักถามหรือถามค้านได้ เมื่อการสืบพยานของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นแล้ว ศาลจะนัดฟังคำพิพากษาต่อไป

การบังคับคดี

คู่ความฝ่ายที่ชนะคดีตามคำพิพากษาสามารถดำเนินการบังคับคดีเพื่อให้มีการปฏิบัติไปตามคำพิพากษาได้ หากคู่ความฝ่ายที่แพ้คดีไม่ยอมปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ใน คำพิพากษา โดยอาจยึด อายัดทรัพย์ของลูกหนี้ของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาขายทอดตลาดหรือจับกุม คุมขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ในกรณีไม่ยอมกระทำการตามที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา
Read more ...

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่ง

10/5/52
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่ง

1. ค่าขึ้นศาล

คดีที่มีทุนทรัพย์ ได้แก่ คดีที่โจทก์เรียกร้องโดยมีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เช่น

คดีที่มีคำขอเรียกร้องเงินหรือทรัพย์สินซึ่งยังมิได้เป็นของตนจากผู้อื่นมาเป็นของตน โดยจำนวนเงินหรือราคาทรัพย์ที่เรียกร้องนั้นถือเป็นทุนทรัพย์

สำหรับค่าขึ้นศาลในคดีที่มีทุนทรัพย์โจทก์ต้องเสียอัตราร้อยละ 2.50 บาท ของจำนวนทุนทรัพย์ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท

คดีไม่มีทุนทรัพย์ คือ คดีที่โจทก์มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
เช่น

ขอให้บังคับจำเลยให้กระทำการหรือละเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้อ้างหรือเรียกร้องเป็นจำนวนเงินหรือทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่ง
สำหรับค่าขึ้นศาลในคดีไม่มีทุนทรัพย์โจทก์ต้องเสียเรื่องละ 200 บาท

ในกรณีเป็นคดีมีทุนทรัพย์กับไม่มีทุนทรัพย์รวมอยู่ในคดีเดียวกันให้คิดค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2.50 บาท ของจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องโดยเป็นเงินอย่างต่ำ 200 บาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท

คำฟ้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ คิดค่าขึ้นศาลอัตราร้อยละ 1 บาท ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่อนุญาโตตุลาการกำหนดไว้ในคำชี้ขาดแต่ไม่เกิน 80,000 บาท
คำฟ้องขอให้บังคับจำนองหรือบังคับเอาทรัพย์สินจำนองหลุด คิดค่าขึ้นศาลตามจำนวนหนี้ที่เรียกร้องในอัตราร้อยละ 1 บาท แต่ไม่เกิน 100, 000 บาท

อุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 หรือ 228 เสียค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท

ค่าขึ้นศาลในอนาคต (เกี่ยวกับค่าเช่า ดอกเบี้ย ค่าเสียหาย ) เช่นถ้าไม่ได้ขอดอกเบี้ยก่อนฟ้อง แต่ขอดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคตอีก 100 บาท

ค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้น
ตามปกติศาลจะคำนวณค่าขึ้นศาลเมื่อโจทก์ยื่นฟ้อง แต่ถ้าต่อมามีการแก้ไขคำฟ้องหรือมีเหตุประการอื่นอันทำให้จำนวนทุนทรัพย์เพิ่มขึ้นโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เพิ่มนั้น

วิธีคำนวณค่าขึ้นศาล
ในการคำนวณค่าขึ้นศาลถ้าทุนทรัพย์ไม่ถึง 100 บาท ให้นับเป็น 100 เศษของ 100 บาท ถ้าถึง 50 บาท ให้นับเป็น 100 ถ้าต่ำกว่า 50 บาท ให้ปัดทิ้ง

การคำนวณมีวิธีการง่ายๆ คือ ให้นำทุนทรัพย์ตั้งแล้ว หารด้วย 40
เช่น ทุนทรัพย์ = 21,050 บาท
วิธีคิด = 21,100 บาท หารด้วย 40
คิดเป็นค่าขึ้นศาล = 527.50 บาท

2. ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ในคดีแพ่ง
คำร้อง 20 บาท
คำขอ 10 บาท
คำแถลง - บาท
ใบแต่งทนาย 20 บาท
- ค่าอ้างเอกสารเป็นพยานฉบับละ 5 บาท สูงสุดไม่เกิน 200 บาท
- ค่ารับรองสำเนาเอกสาร โดยผู้อำนวยการสำนักงานศาล 20 บาท
- ค่าใบสำคัญแสดงว่าคดีถึงที่สุด 15 บาท

การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
กรณีที่โจทก์หรือจำเลยเป็นคนยากจน ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล โจทก์หรือจำเลยอาจยื่นคำร้องขออนุญาตยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ เรียกว่าการฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถา ซึ่งขอได้ทุกระดับชั้นศาล

ผู้ขอจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมกับคำฟ้อง คำฟ้องอุทธรณ์ คำฟ้องฎีกา หรือคำให้การ และสาบานตัวต่อเจ้าหน้าที่ศาลว่า ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ศาลจะบันทึกถ้อยคำสาบานเอาไว้ศาลจะฟังคู่ความทุกฝ่ายโดยไต่สวนก่อนพิจารณาสั่ง

ถ้าศาลอนุญาตให้ฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาทั้งหมด ผู้นั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งรวมถึงเงินวางศาล อันได้แก่เงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่ฝ่ายชนะคดีในศาลล่างสำหรับการยื่นฟ้องอุทธรณ์ หรือฎีกา

แต่ถ้าศาลอนุญาตให้ฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาเพียงบางส่วนผู้นั้นจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะส่วนที่ศาลสั่งยกเว้นให้

3. ค่าใช้จ่ายอื่น
ในการดำเนินคดีแพ่ง คู่ความอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก เช่น

ค่าส่งหมาย
ค่าทำแผนที่พิพาท
ค่าป่วยการและค่าพาหนะพยาน
ค่าตรวจเอกสารโดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น
Read more ...

ศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดให้คนป่วยจากแม่เมาะยกเว้นค่าธรรมเนียมฟ้องกฟผ.ได้

10/5/52



21 ม.ค. 2549 คนแม่เมาะเฮ! เมื่อศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแบบอนาถา เพื่อยื่นฟ้อง กฟผ.ได้ เผยดีใจที่ต่อสู้ผ่านกระบวนการยุติธรรม พร้อมยืนยันเดินหน้าฟ้อง กฟผ.ต่อ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,000 กว่าล้านบาท หลังจากต้องกลายเป็นคนป่วยรับสารพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะมานานหลายสิบปี

เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลปกครองเชียงใหม่ ตัวแทนชาวบ้านแม่เมาะได้เดินทางเข้าฟังคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ตามหมายเลขดำ 66/2548 ลงวันที่ 20 ม.ค.2549 ระหว่าง นายสุวัฒน์ สุริยะแก้ว กับพวกรวม 10 คน ที่ฟ้องคดี บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิต(มหาชน) ผู้ถูกฟ้องคดี โดยศาลได้อ่านคำสั่งที่ 791/2548 ของศาลปกครองสูงสุด ให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ว่าศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ยืนคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นให้ชาวบ้านแม่เมาะที่เป็นผู้ป่วยจากการได้รับสารพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ สามารถยื่นคำร้องการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแบบอนาถาได้

นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์ เลขานุการเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาให้ชาวบ้านแม่เมาะที่เป็นผู้ป่วยจากการได้รับสารพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ สามารถยื่นคำร้องการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแบบอนาถาในครั้งนี้

“ซึ่งชาวบ้านได้ขอรับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแบบอนาถา จำนวนทั้งหมด 128 คนไปก่อนหน้านั้น ล่าสุด ศาลปกครองโดยศาลปกครองสูงสุดยืนคำพิจารณาศาลชั้นต้นให้ชาวบ้านที่ยื่นคำร้องขอฟ้องแบบอนาถาได้จำนวน 57 คน ที่เหลือได้พิจารณายกเว้นในสัดส่วน 3ใน 4 และ 9 ใน 10 นั่นหมายความว่า หากชาวบ้านรายใดที่ฟ้องเรียกค่าเสียหายไป 10 ล้านบาท ก็สามารถยื่นฟ้องแบบอนาถาโดยลดเหลือ 9 ล้าน ซึ่งก็ถือว่าศาลปกครองได้เมตตาชาวบ้านแล้ว หลังจากนี้ ก็คงต้องรอให้ศาลได้พิสูจน์ว่าเป็นผู้ป่วยจากผลกระทบจากโรงไฟฟ้าจริงหรือไม่ ซึ่งทุกคนไม่หนักใจ เพราะเชื่อว่าทุกคนป่วยจากสารพิษโรงไฟฟ้าจริง และเมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนพร้อมยืนยันจะเดินหน้าฟ้อง กฟผ. เพื่อเรียกค่าเสียหายต่อไป” นางมะลิวรรณ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เลขาฯ เครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ ได้กล่าวแสดงความหวังว่าศาลปกครองจะเร่งพิจารณาคดีดังกล่าว เนื่องจากว่าในขณะนี้ ชาวบ้านที่ได้เข้ายื่นคำร้องได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว 4 ราย ซึ่งเธอระบุว่าล้วนแล้วแต่เป็นการเสียชีวิตจากสารพิษโรงไฟฟ้าทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มผู้ป่วยได้ร่วมกันเรียกร้องสิทธิ และต่อต้านโรงไฟฟ้ามาโดยตลอด แต่ก็ไม่เกิดการดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง จึงได้ยื่นฟ้อง กฟผ. ต่อศาลปกครองใน 2 กรณี คือ กรณีการเจ็บป่วย และกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

จนกระทั่ง ในวันที่ 29 สิงหาคม 2546 กลุ่มชาวบ้านในนามเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ จ.ลำปางจำนวน 128 ราย ได้เข้ายื่นฟ้องการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อศาลปกครอง จ.เชียงใหม่ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายกรณีเจ็บป่วยจากโรงไฟฟ้าจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,069,778,433 บาท เนื่องจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะปล่อยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ทำให้สภาพอากาศโดยรอบโครงการไฟฟ้าเป็นพิษ จนชุมชนมีอาการเจ็บป่วยจากมลพิษ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวอนามัยระบุว่าชาวแม่เมาะป่วยด้วยโรคนิวโมโคนิโอซีส ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาและดำเนินการโยกย้ายชุมชนโดยเร่งด่วน แต่ กฟผ.กลับหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับผิดชอบมาโดยตลอด

นางมะลิวรรณกล่าวด้วยว่า สำหรับตัวเธอเองนั้น พ.ญ.อรพรรณ เมธาดิลกกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวอนามัยที่โรงพยาบาลราชวิถี ได้ทำการรักษาผู้ป่วยทั้งหมด ระบุว่าผลการเอ็กซ์เรย์พบว่าปอดของเธอเหลือเพียง 70% บางรายเป็นหนักกว่าคือเหลือปอดไม่ถึง 50% ต้องใช้ยาพ่นเพื่อขยายหลอดลมตลอดเวลา

ต่อมา นายธีระศักดิ์ ชึขุนทด สภาทนายความที่ช่วยเหลือคดีดังกล่าว ได้กล่าวว่า การยื่นฟ้องครั้งนี้เป็นการฟ้อง

ตามมาตรา 6(2) และมาตรา 96 แห่งพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมปี 2535

ที่ระบุว่าเจ้าของแหล่งกำเนิดมลพิษที่ทำให้ผู้อื่น และทรัพย์สินเสียหายจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย โดยโจทก์ทั้ง 128 คน ยื่นขอค่าเสียหายรวม 1,069,778,433 บาท ซึ่งเป็นค่าเสียหายเฉพาะส่วนที่ชาวบ้านเจ็บป่วย พร้อมทั้งให้ศาลสั่งให้ กฟผ.หยุดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์

นายธีรศักดิ์ ได้กล่าวถึงแนวทางการพิจารณาคดีในครั้งนั้นว่า เนื่องจากชาวบ้านไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมศาลจำนวนร้อยละ2.5 ของจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง ซึ่งเป็นเงินหลายล้านบาท จึงส่งสำนวนคำฟ้องพร้อมด้วยคำร้องให้ศาลยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล หรือการขอยื่นคำร้องฟ้องแบบอนาถา

ล่าสุด (20 ม.ค.49) ศาลปกครองสูงสุดได้ิพิจารณาให้้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ ตามจำนวนสัดส่วนที่แตกต่างกันไปตามฐานะของผู้ยื่นคำร้อง และเมื่อศาลรับฟ้องแล้ว ก็จะมีการส่งสำนวนการฟ้องไปยัง กฟผ.เพื่อให้กฟผ.ได้มาพิจารณาและส่งเอกสารหลักฐานมาเพื่อให้เกิดกระบวนการไต่สวนของศาลต่อไป.

องอาจ เดชา
โดย : ประชาไท

วันที่ 23/01/2006
Read more ...

การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล

10/5/52
กรณีที่โจทก์หรือจำเลยเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล โจทก์หรือจำเลยอาจยื่น คำร้องขออนุญาต ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ เรียกว่า การฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถา ซึ่งสามารถยื่น คำร้องได้ทุกระดับชั้นศาล

ผู้ขอต้องยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมกับคำฟ้อง คำฟ้องอุทธรณ์ คำฟ้องฎีกา หรือคำให้การ และคำสาบานต่อตัวเจ้าหน้าที่ศาลว่า ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ศาลจะบันทึกถ้อยคำสาบานเอาไว้ ศาลจะฟังคู่ความทุกฝ่ายโดยไต่สวนก่อนพิจารณาสั่ง ถ้าศาลอนุญาตให้ฟ้อง หรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาทั้งหมด ผู้นั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งรวมถึงเงินวางศาลอันได้แก่
เงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่ฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้น สำหรับการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา

แต่ถ้าศาลอนุญาตให้ฟ้อง หรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาเพียงบางส่วน ผู้นั้นจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเฉพาะส่วนที่ศาลที่ยกเว้นให้
Read more ...

การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล

10/5/52
กระทู้โดย : นายไกรสิทธิ์ 17/12/2008 , 20:55:25 สรุปในส่วนการแก้ไขใหม่ในเรื่องของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล......( หรือการดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเดิมนั่นเองครับผม )

1 )มาตรา 155 นั้นยุบลงมาเหลือเพียงวรรคเดียว กล่าวคือคู่ความที่ไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องหรือต่อสู้คดีในศาลชั้นต้นหรือชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา

2 )ส่วนมาตรา 156 นั้นยุบลงมาเหลือเพียงสองวรรคเท่านั้น กล่าวคือวรรคหนึ่งให้ตัดในส่วนของการสาบานตัวออกไปเท่านั้น ผู้ใดมีความจำนงจะขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องหรือต่อสู้คดี ให้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่จะฟ้องหรือได้ฟ้องคดีนั้นไว้ พร้อมกับคำฟ้อง คำฟ้องอุทธรณ์ คำฟ้องฎีกา คำร้องสอด หรือคำให้การ แล้วแต่กรณี แต่ถ้าบุคคลนั้นตกเป็นผู้ไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในภายหลัง จะยื่นคำร้องในเวลาใด ๆ ก็ได้

3 ) ส่วนในมาตรา156 วรรคสองนั้น ใจความส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ให้อำนาจแก่ศาลในการที่ใช้ดุลพินิจที่จะสั่งไต่สวนคำร้องดังกล่าวหรือไม่ก็ได้ ....และศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้ไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง ผู้ร้องอาจเสนอพยานหลักฐานไปพร้อมกับคำร้อง และหากศาลเห็นสมควรไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็ให้ดำเนินการไต่สวนโดยเร็วเท่าที่จำเป็น

ทั้งนี้ศาลจะมีคำสั่งให้งดการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนั้นไว้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นการชั่วคราว จนกว่าการพิจารณาสั่งคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะถึงที่สุดก็ได้ตามที่ศาลเห็นสมควร

4 ) มาตรา156/1 โดยมีจุดที่แตกต่างไปจากมาตรา 156 เดิมตรงที่ว่าถ้าหากศาลสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล คำสั่งศาลที่อนุญาตตามคำร้องจะไม่เป็นเป็นที่สุด และได้แก้ไขจากเดิมถ้าผู้ขอเป็นโจทก์ ผู้ขอจะต้องแสดงว่าคดีของตนมีมูล มาเป็นในกรณีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ การฟ้องร้องนั้นจะต้องมีเหตุผลอันสมควรด้วยแทนครับผม

มาตรา156/1 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลพิจารณาคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลเสร็จแล้วให้ศาลมีคำสั่งโดยเร็ว โดยศาลจะมีคำสั่งอนุญาตทั้งหมดหรือแต่เฉพาะบางส่วน หรือยกคำร้องนั้นเสียก็ได้

มาตรา156/1 วรรคสอง ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำร้องขอเช่นว่านั้นเว้นแต่จะเป็นที่เชื่อได้ว่าผู้ร้องขอไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือหากผู้ร้องไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินควรเมื่อพิจารณาถึงสถานะของผู้ร้อง และในกรณีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์หรือผู้อุทธรณ์หรือฎีกา การฟ้องร้องหรืออุทธรณ์หรือฎีกานั้นต้องมีเหตุอันสมควรด้วย

มาตรา156/1 วรรคสาม เมื่อคู่ความคนใดได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องหรือต่อสู้ในศาลชั้นต้น แล้วมายื่นคำร้องเช่นว่านั้นในชั้นอุทธรณ์หรือในชั้นฎีกา แล้วแต่กรณีอีก ให้ถือว่าคู่ความนั้นยังคงไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือหากไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลแล้วจะได้รับความเดือดร้อนเกินควรอยู่ เว้นแต่จะปรากฏต่อศาลเป็นอย่างอื่น

มาตรา156/1 วรรคสี่ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แต่เฉพาะบางส่วน หรือมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลได้ภายในกำหนด 7 วันนับแต่วันมีคำสั่งคำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด

5 ) ส่วนตามมาตรา 157 นั้นเพียงแต่เปลี่ยนจาก “ฟ้องหรือต่อสู้ความอย่างคนอนาถา” มาเป็น “ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในศาลใด” เท่านั้น นอกจากนี้แล้วยังคงเดิม

6 ) ในส่วนของมาตรา 158 นั้นเพียงแต่เปลี่ยนจาก “บุคคลผู้ฟ้องหรือต่อสู้ความอย่างคนอนาถา” มาเป็น “ผู้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในศาลใด” และจาก“ผู้ฟ้องหรือต่อสู้ความอย่างคนอนาถา” มาเป็น “ผู้นั้น” เท่านั้น นอกจากนี้แล้วหลักใหญ่ยังคงเดิม

7 ) ส่วนมาตรา159 นั้นก็เขียนล้อตามมาตรา159 และมาตรา 160 เดิมเพียงแต่เปลี่ยนตัวบุคคลและเปลี่ยนมาเป็นอนุมาตราเท่านั้น และมาตรา 160 ก็เขียนล้อตามมาตรา160 เดิมเช่นเดียวกัน หลักใหญ่ยังคงเดิมครับผม จากความข้างต้นทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างจากเดิมได้ดังต่อไปนี้

ข้อแตกต่างที่ 1 ใหม่ = จะไม่มีการสาบานตัวอีกต่อไป

ข้อแตกต่างที่ 2 ใหม่ = คำสั่งอนุญาตไม่เป็นที่สุด

ข้อแตกต่างที่ 3 ใหม่ = การที่ศาลอนุญาตบางส่วน จะขอให้พิจารณาคำขอใหม่ไม่ได้อีกต่อไป......แต่ในทางปฏิบัติศาลจะต้องนัดไต่สวนกันเหนียวกันพลาดเอาไว้ก่อน

ข้อแตกต่างที่ 4 ใหม่ = ศาลจะสั่งให้ไต่สวนก็ได้หรือไม่สั่งให้ไต่สวนก็ได้ โดยให้เป็นดุลพินิจโดยแท้ของศาล

8 ) เดิมในการฟ้องหรือต่อสู่คดีในชั้นฎีกานั้น มาตรา 156 วรรคท้ายเดิมกำหนดให้ผู้ขออุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แต่เฉพาะบางส่วน หรือมีคำสั่งให้ยกคำขอเสียทีเดียวโดยตรงต่อศาลฎีกาได้เลย......

ถึงแม้ว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่จะมิได้บัญญัติกำหนดเอาไว้ว่าจะให้อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาหรือไม่ก็ตาม แต่เราๆท่านๆก็ควรที่จะต้องตีความว่ายังคงสามารถอุทธรณ์โดยตรงไปยังศาลฎีกาได้อยู่เช่นเดิมครับผม จึงขอแสดงความคิดเห็นเอาไว้เพียงแค่นี้ก่อนนะครับ จากคุณ : ผ่านมาแล้วอยากตอบ - [21 มาตราค.51 12:55]
Read more ...

ศาลรับฟ้อง “เพชรน้ำหนึ่ง” ตกฟุตปาธพิการ เรียก กทม.5 ล้าน!

8/5/52
ศาลรับฟ้องคดี “เพชรน้ำหนึ่ง” นักเขียนรางวัลดีเด่น ปี 46 เดินตกริมฟุตปาธ ข้อเท้าซ้ายแตก-กลายเป็นคนพิการ เรียกค่าเสียหาย กทม.วิศวกร-บริษัทผู้รับเหมา 5 ล้านบาท นัดพร้อมคู่ความ 29 มิ.ย.ขณะที่พ่อ บอกหลังเกิดเหตุลุกสาวไม่ได้เขียนงานเก็บตัว เคยเป็นคนร่าเริง ชอบออกกำลังกาย ก็อยู่แต่ภายในบ้าน มีเพียงห้องนอน-บริเวณหน้าหิ้งพระเป็นเพื่อน
วันนี้ (7 พ.ค.52) ที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน เวลา 09.30 น.ศาลนัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ 3768/2551 ที่

น.ส.วดี หรือ น้องน้ำ เบญจปัญญาวงศ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

นักเขียนรางวัลเยาวชนดีเด่นเรนโบว์ อวอร์ด เมื่อปี 2546 นามปากกา

“เพชรน้ำหนึ่ง” และ “วดี”

บุตรสาว นางเพชรลดา เฟื่องอักษร นักเขียนอิสระ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง

1. กรุงเทพมหานคร,

2. นายประคอง มณีฉาย วิศวกร และ

3. บริษัท บี.ซี.ดี.ซี.จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นจำเลยที่ 1-3

ในคดีแพ่ง เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท

กรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค.2550 เวลา 19.00 น.น.ส.วดี ได้รับบาดเจ็บจากการเดินตกริมฟุตปาธ ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก ทำให้กระดูกข้อเท้าซ้ายแตกและต้องกลายเป็นผู้พิการ

โดยวันนี้ น.ส.วดี เดินทางไปฟังคำสั่งพร้อม นายเริงศักดิ์ กำธร บิดา และ นางเฟื่องลดา มารดา พร้อมด้วยทนายความ ซึ่งศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องและอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลกับโจทก์ในการยื่นฟ้องคดีแพ่ง

ทั้งนี้ ศาลได้นัดพร้อมคู่ความเพื่อกำหนดวันสืบพยานต่อไปในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

ขณะที่ นางพัชรินทร์ พิณกุล ทนายความโจทก์ กล่าวว่า เดิมทีคดีนี้ผู้ปกครอง น.ส.วดี ขอให้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 27 ล้านบาท ซึ่งการยื่นฟ้องคดีแพ่งจะต้องวางค่าธรรมเนียมศาล แต่เมื่อผู้ปกครอง น.ส.วดี ไม่อาจชำระค่าธรรมเนียม และได้ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตฟ้องคดี โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมแล้ว ก็จำเป็นต้องลดจำนวนเงินฟ้องลงมาเหลือตามความเหมาะสม และหลักฐานการพิสูจน์ในชั้นศาล ฝ่ายโจทก์จึงลดจำนวนเงินค่าเสียหายเหลือเพียง 5 ล้านบาท

ด้าน นายเริงศักดิ์ บิดา น.ส.วันดี กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุแพทย์ได้วินิจฉัยว่ากระดูกเท้าซ้ายหัก 2 ท่อน ต้องดามเหล็ก เวลาจะเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันช่วยพยุงตัว ซึ่งขณะนี้ตนได้ไปขอรับใบผู้พิการจากองค์กรผู้พิการ เพื่อให้บุตรสาวใช้สิทธิต่างๆ ในฐานะผู้พิการมาแล้ว

อย่างไรก็ดี ส่วนการเรียนของบุตรสาว ได้ศึกษากฎหมายปีสุดท้ายแล้ว แต่ด้านงานเขียนนั้น หลังจากเกิดเหตุบุตรสาวไม่ได้เขียนงานอีกเลย ซึ่งบุตรสาวเคยเป็นคนร่าเริง ชอบออกกำลังกาย เล่นเทนนิส ว่ายน้ำ แต่เมื่อประสบอุบัติเหตุจนเท้าซ้ายพิการ ก็อยู่แต่ภายในบ้าน ไม่ได้ไปงานรับเชิญเกี่ยวกับด้านหนังสืองานเขียนวรรณกรรม โดยโลกภายนอกของบุตรสาวมีเพียงห้องนอนและบริเวณหน้าหิ้งพระ และการยื่นฟ้องคดีนี้ หวังเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีผู้พิการ
Read more ...

ตัวบทกฎหมายอ้างอิง

7/5/52


ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 254  ในคดีอื่นๆ นอกจากคดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะยื่นต่อศาลพร้อมกับคำฟ้องหรือในเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษา ซึ่งคำขอฝ่ายเดียว ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งภายในบังคับแห่งเงื่อนไขซึ่งจะกล่าวต่อไป เพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใด ๆ ดังต่อไปนี้
            
(2) ให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไป ซึ่งการละเมิดหรือการผิดสัญญาหรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง หรือมีคำสั่งอื่นใดในอันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายที่โจทก์อาจได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทำของจำเลยหรือมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยโอน ขาย ยักย้ายหรือจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลย หรือมีคำสั่งให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไปเปล่าหรือการบุบสลายซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

มาตรา 267  ให้ศาลพิจารณาคำขอเป็นการด่วน ถ้าเป็นที่พอใจจากคำแถลงของโจทก์หรือพยานหลักฐานที่โจทก์ได้นำมาสืบ หรือที่ศาลได้เรียกมาสืบเองว่าคดีนั้นเป็นคดีมีเหตุฉุกเฉินและคำขอนั้นมีเหตุผลสมควรอันแท้จริง ให้ศาลมีคำสั่งหรือออกหมายตามที่ขอภายในขอบเขตและเงื่อนไขไปตามที่เห็นจำเป็นทันที ถ้าศาลมีคำสั่งให้ยกคำขอ คำสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด
จำเลยอาจยื่นคำขอโดยพลัน ให้ศาลยกเลิกคำสั่งหรือหมายนั้นเสีย และให้นำบทบัญญัติแห่งวรรคก่อนมาใช้บังคับโดยอนุโลม คำขอเช่นว่านี้อาจทำเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยได้รับอนุญาตจากศาล ถ้าศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเดิมตามคำขอคำสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด
การที่ศาลยกคำขอในเหตุฉุกเฉินหรือยกเลิกคำสั่งที่ได้ออกตามคำขอในเหตุฉุกเฉินนั้น ย่อมไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเสนอคำขอตามมาตรา 254 นั้นใหม่

มาตรา 268  ในกรณีที่มีคำขอในเหตุฉุกเฉิน ให้ศาลมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าคดีนั้นมีเหตุฉุกเฉินหรือไม่ ส่วนวิธีการที่ศาลจะกำหนดนั้น หากจำเป็นต้องเสื่อมเสียแก่สิทธิของคู่ความในประเด็นแห่งคดี ก็ให้เสื่อมเสียเท่าที่จำเป็นแก่กรณี

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

มาตรา 34 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและมีเสรีภาพในการเลือกถิ่นที่อยู่ภายในราชอาณาจักร

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชนการผังเมือง หรือเพื่อสวัสดิภาพของผู้เยาว์

มาตรา 63  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก
Read more ...

กรณีมีเหตุฉุกเฉินจึงมีเหตุอันสมควรที่จะมีการนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราว ก่อนมีคำพิพากษามาบังคับใช้

7/5/52

ต่อมาเวลา 22.10 น. นายธีรพงศ์ อุ่นชัย ผู้พิพากษาศาลแพ่งพร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ โดยมีคำสั่งใน คดีดังกล่าวว่า เห็นว่า 


พฤติการณ์ที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 13 คน 


ใช้วิธีการประท้วงขับไล่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันให้ลาออกจากตำแหน่ง 


โดยชักนำมวลชนเข้าร่วมชุมนุมอันเป็นการปิดกันท่าอากาศยานแห่งชาติสุวรรณภูมิ ทั้งภายในและภายนอกอาคาร


ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา วรรค 1 และวรรค 2 ในเรื่องสิทธิเสรีภาพใน การเดินทาง 




แม้จำเลยทั้งหมดและกลุ่มผู้ชุมนุมในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีเสรีภาพในการชุมนุม 


แต่การชุมนุมนั้นต้องเป็นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550  มาตรา 63 วรรค 1 


และจะต้องไม่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพ ของประชาชนในการเดินทาง 


รวมทั้งสิทธิของโจทก์ในฐานะเป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลท่าอากาศยานแห่งชาติสุวรรณภูมิ 


เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถอำนวยการ บริการแก่ประชาชนผู้โดยสารที่เดินทางโดยเครื่องบิน และประชาชนทั่วไปได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถเดินทางไปมาได้ตาม ปกติ


กรณีมีเหตุฉุกเฉิน


จึงมีเหตุอันสมควรที่จะมีการนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราว ก่อนมีคำพิพากษามาบังคับใช้ จึงมีคำสั่งให้จำเลยทั้ง 13 คนออกไปและนำกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมออกจากท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อให้พนักงานผู้ให้บริการ และประชาชนทั่วไปสามารถใช้บริการได้ปกติในทันที
Read more ...